
แนวคิดเสรีนิยมและประชาธิปไตย หลักการสากลที่ใช้ได้ทุกประเทศจริงหรือ
ตั้งคำถามผ่านอุปสรรคและความย้อนแย้ง : “เสรีประชาธิปไตย” สากลจริงหรือ?
หลังเหตุการณ์ถล่มกำแพงเบอร์ลินในปีค.ศ. 1989 นักวิชาการด้านทฤษฎีรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ฟรานซิส ฟุกุยามะ (Francis Fukuyama) ได้วิเคราะห์เชิงพยากรณ์เอาไว้ว่าแนวคิดสังคมนิยม-คอมมิวนิสม์นั้นจะพ่ายแพ้ให้กับแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยในสมรภูมิแห่งความคิด และทุก ๆ ประเทศทั่วโลกจะค่อย ๆ เดินไปสู่สังคม-การเมืองและการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย (liberal democracy)
การวิเคราะห์นี้นั้นพัฒนาไปเป็นผลงานเด่นของเขา คือ หนังสือ “จุดจบของประวัติศาสตร์และมนุษย์คนสุดท้าย” (The End of History and the Last Man) ซึ่งเสนอว่า ภายหลังการทลายกำแพงเบอร์ลินและการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประชาธิปไตยนั้นจะถือเป็นจุดสิ้นสุด หรือปลายทางของประวัติศาสตร์ด้านทฤษฎีการเมืองการปกครองทั่วโลก มนุษย์ที่ยึดถือแนวคิดและคุณค่าเสรีนิยมนั้นจะถือเป็นมนุษย์คนสุดท้าย [1]
ฟุกุยามะอาจจะไม่ใช่นักคิดคนแรกที่วิเคราะห์หรือคาดหวังว่า เสรีประชาธิปไตยนั้นจะเป็นคำตอบของการปกครองทั่วโลก แต่เขานั้นถือว่าเป็นผู้ที่นำเสนอความคิดลักษณะนี้ที่ชัดเจนที่สุดคนหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น คำพยากรณ์ของเขานั้นดูเหมือนจะเป็นจริง เพราะหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกาได้ขึ้นมาครองตำแหน่งเป็นมหาอำนาจของโลกแต่เพียงผู้เดียว และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เป็นผู้นำในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นไปตามคำพยากรณ์ของฟุกุยามะและนักคิด-นักวิชาการตะวันตกจำนวนมาก ผ่านการแจกประชาธิปไตยไปทั่วโลก
โปรดดูบทความ “Liberal Hegemony ทำไมประเทศที่อ้างประชาธิปไตย ถึงชอบแทรกแซงกิจการของชาติอื่น” ที่เคยเผยแพร่ไปแล้วประกอบ สำหรับประเด็นการครองอำนาจและดำเนินนโยบายแบบ “มหาอำนาจเสรีนิยม” หรือ liberal hegemony ของสหรัฐอเมริกา [2]
แม้ว่าการแจกประชาธิปไตยโดยตะวันตกนั้นจะสำเร็จบ้าง กระท่อนกระแท่นบ้าง แต่เราก็อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการสร้างประชาธิปไตย (democratization) นั้นถูกกำหนดว่าเป็นเส้นชัยของทุกประเทศทั่วโลก เห็นได้จากการรายงานข่าวต่างประเทศของสื่อต่าง ๆ มักจะเป็นการฉายภาพว่า พัฒนาการด้านประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ นั้นเป็นอย่างไร : ‘ประเทศนี้กำลังเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ’, ‘เหตุการณ์นี้เป็นผลดี/ผลเสียกับการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศนั้นอย่างไร’, หรือ ‘สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยในประเทศโน้นกำลังก้าวหน้า/ก้าวถอยหลัง’ เป็นต้น
แต่เบื้องหลังภาพการแข่งขันไปสู่เส้นชัยที่ชื่อประชาธิปไตยนั้น ก็มีรอยปริแตกที่แสดงให้เห็นถึงความย้อนแย้งไม่ตรงปก (discrepancy) ของกระบวนการสร้างประชาธิปไตย บางประเทศที่เราเข้าใจว่าวิ่งไปถึงนั้น กลับไม่ได้มีหลักการหรืออุดมการณ์ที่ตรงกับแนวคิดประชาธิปไตยอย่างที่สมควรจะเป็น บางประเทศก็เลือกที่จะไม่แข่งขันแล้วหันไปสนใจการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชนเป็นหลัก บางประเทศวิ่งเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที
ปมปัญหาเหล่านี้ชวนให้เราตั้งคำถามว่า ประชาธิปไตยควรจะเป็นเส้นชัยของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจริงหรือ? “จุดจบของประวัติศาสตร์” ในการค้นหาทฤษฎีการเมืองการปกครองนั้นคือแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยจริง ๆ หรือ? โดยเฉพาะในยุคที่เราเปิดกว้างกับความหลากหลายในระดับบุคคล ทั้งเรื่องศาสนาความเชื่อ, เรื่องความเป็นพหุวัฒนธรรม, ประเด็นเกี่ยวกับเพศภาพ, เป้าหมายและรูปแบบการใช้ชีวิต ฯลฯ เหตุใดในระดับสังคมและประเทศชาตินั้นกลับต้องมีรูปแบบเดียวกันทั้งหมด?
ก่อนที่เราจะไปไขคำตอบนี้ อาจจะเป็นการดีที่จะทำความเข้าใจให้เห็นถึงสภาพจริง ๆ ของประเทศประชาธิปไตยต่าง ๆ ก่อนว่าจริง ๆ แล้วเป็นประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน
ญี่ปุ่น
หลังจากการพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธ์มิตร ญี่ปุ่นถูกอเมริกาเข้าควบคุม โดยอเมริกาได้เขียนรัฐธรรมนูญและจัดการระบอบการปกครองให้ ระบอบประชาธิปไตยในญี่ปุ่นยุคร่วมสมัยจึงไม่ได้เกิดมาจากการเรียกร้อง หรือขับเคลื่อนของประชาชนชาวญี่ปุ่น แต่มาจากการจัดการแบบบนลงล่าง (top-down)
อีกทั้งญี่ปุ่นนั้นสามารถเรียกได้ว่ามีการปกครองแบบ “พรรคเดียว” โดยมีพรรคเสรีประชาธิปไตย (พรรค LDP) ปกครองมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. 1955 จนนักวิเคราะห์กล่าวว่า “เรารอให้มีประชาธิปไตยจริง ๆ เป็นระยะเวลากว่า 70 ปี แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น…ประชาธิปไตยญี่ปุ่นนั้นอยู่ในสภาพขาดวิ่น” [3]
นอกจากรูปแบบการปกครองแล้ว วัฒนธรรมและสังคมของญี่ปุ่นยังไม่ได้มีการยึดถือคุณค่าแบบเสรีนิยมโดยสมบูรณ์ แต่สังคมญี่ปุ่นนั้นถูกเรียกว่าเป็น “สังคมอนุรักษ์นิยม” โดยนักวิชาการญี่ปุ่น และมีการอธิบายว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นมีลักษณะเป็น “อำนาจนิยมแบบเป็นมิตร” (friendly authoritarian) โดยมีคำอธิบายว่า “สังคมญี่ปุ่นนั้นมีการธำรงวินัย (regimentation) หลายรูปแบบที่ถูกออกแบบให้พฤติกรรมและความคิดของคนญี่ปุ่นนั้นมีมาตรฐานเดียว และทำให้พวกเขามีชีวิตประจำวันอยู่ในแถวเดียวกัน…มันมีลักษณะอำนาจนิยมถึงขั้นที่ทำให้คนในสังคมทุกคนซึมซับ และเชื่อถือในระบบคุณค่าที่ถือว่าการควบคุมและการธำรงวินัยนั้นเป็นธรรมชาติ รวมทั้งการยอมรับในคำสั่งของผู้ที่มีตำแหน่งเหนือกว่าโดยไม่มีการตั้งคำถาม” [3]
ในเรื่องของการมีส่วนร่วมของประชาชน สามารถกล่าวได้ว่าญี่ปุ่นถูกครอบงำ (dominate) โดยระบบที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมเหล็ก” ที่มาจากความสัมพันธ์และสมประโยชน์กันของ รัฐ–ราชการ–ทุน โดยประชาชนนั้นเรียกได้ว่าไม่ได้มีส่วนร่วมใด ๆ ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินกิจการหรือนโยบายระดับชาติ
โดยองค์ประกอบดังกล่าวนี้ การปกครองแบบพรรคเดียว, วัฒนธรรมที่ไม่มีขอบเขตและไม่เป็นไปตามแนวคิดเสรีนิยมอย่างสมบูรณ์, การดำเนินกิจการของรัฐที่ถูกครอบงำโดยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและทุน และการที่ส่วนร่วมของประชาชนที่อยู่ในระดับน้อยมากในการกำหนดทิศทางประเทศนั้น นอกจากจะปรากฏในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังมีอยู่ในอีกสองประเทศที่จะกล่าวถึงต่อไป คือไต้หวันและสิงคโปร์ด้วย
ไต้หวัน
คล้ายกับประเทศญี่ปุ่น ไต้หวันเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ปกครองโดย “พรรคเดียว” เช่นกัน นั่นคือพรรคก๊กมินตั๋ง ไม่เพียงเท่านั้น ตลอดระยะเวลาช่วงแรกในการสร้างชาติของไต้หวัน โดยเฉพาะการกำหนดนโยบายระดับชาติในเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพของประชาชน (เช่น เรื่องการศึกษา ไต้หวันมีนโยบายและลงทุนในการให้การศึกษาแก่ประชาชน ในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสายอาชีพ) มีนักวิชาการวิเคราะห์ให้เห็นว่า แท้จริงแล้วไต้หวันมีการปกครองและบริหารราชการในรูปแบบที่ตรงกันข้ามกับประชาธิปไตย นั่นคือในแนวคิดและแนวทางแบบมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์แบบประเทศสหภาพโซเวียต [4]
พูดง่าย ๆ ก็คือประเทศไต้หวันพัฒนามาได้จนถึงปัจจุบันนี้ก็เพราะการบริหารราชการแผ่นดินที่เรียกได้ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แม้ในปัจจุบันเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของไต้หวันที่เริ่มออกจากความไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นแล้ว กระนั้นเราก็ไม่สามารถปฏิเสธรากฐานของประเทศไต้หวันทั้งด้านการปกครองและการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่นำไปสู่การเป็นไต้หวันทุกวันนี้ได้นั้น ว่าไม่ได้มาจากการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยแบบเต็มใบ
สิงคโปร์
อีกหนึ่งประเทศที่ปกครองโดย “พรรคเดียว” นั่นก็คือ สิงคโปร์ ไม่เพียงเท่านั้นการปกครองและพัฒนาประเทศของสิงคโปร์ยังมีรากฐานอยู่บนตัวบุคคล นั่นก็คือ ลี กวน ยู ซึ่งถูกนิยามโดยนักวิชาการและนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ว่าเป็นการปกครองแบบ “เผด็จการผู้ทรงคุณ” หรือ “เผด็จการแบบเมตตา” (benevolent dictatorship) หรือบ้างก็เรียกว่า “ปฏิบัตินิยมแบบอำนาจนิยม” (authoritarian pragmatism) [5]
อินเดีย และ ตุรกี
หันไปยังประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย เราก็จะเห็นถึงการเกิดขึ้นของรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ถูกเรียกว่า “ประชาธิปไตยไม่เสรี” หรือ illiberal democracy [6] กระนั้นการเรียกเช่นนี้อาจจะทำให้เห็นภาพว่าประชาชนที่อยู่ในประเทศอย่างอินเดียหรือตุรกี นั้นไม่มีสิทธิเสรีภาพ แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม
เพราะการที่ประชาชนในประเทศเหล่านั้นมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และมีส่วมร่วมทางการเมือง พวกเขาจึงสามารถใช้สิทธิของเขาในการเลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองที่พวกเขาชื่นชอบขึ้นมา เพียงแต่ว่ากระแสความคิดและวาทกรรมของผู้นำเหล่านั้น ไม่ได้มีรากฐานอยู่บนแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตกเท่านั้นเอง คือมีการใช้แนวคิดและคุณค่าจากชาตินิยม, ศาสนา, และประเพณี-วัฒนธรรมมาเป็นตัวขับเคลื่อนทางการเมือง
ประชาธิปไตยในประเทศเหล่านั้นจึงถูกตีตราว่า ไม่ใช่ว่า “ไม่เสรี” อันแปลว่า “ไร้เสรีภาพ” แต่คือ ไม่ได้เป็นเสรีนิยม (illiberal) ตามแบบสังคมประเทศเสรีนิยมในตะวันตก แต่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นประชาธิปไตยแบบชาตินิยมฮินดู หรือ ประชาธิปไตยแบบอิสลามและชาตินิยมตุรกี เป็นต้น
โลกมุสลิม
ศาสนาอิสลามก็เป็นอีกหนึ่ง แพะรับบาป ในโลกที่ถูกบังคับให้วิ่งไปสู่เสรีประชาธิปไตย จากการที่อิสลามนั้นถูกฉายภาพผ่านสื่อต่าง ๆ ในทำนองว่า “เป็นศาสนาที่มีปัญหา”, “ไม่เข้ากับประชาธิปไตย”, “ไร้เสรีภาพ โหดเหี้ยม ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน” ด้วยเพราะธรรมชาติหลายส่วนของศาสนาอิสลาม ที่ไม่สามารถถูกนำมาบังคับให้อยู่ในกรอบของเสรีนิยมแบบตะวันตกได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือ หลักการการแบ่งศาสนาออกจากการปกครอง (separation of church and state) และการเอาศาสนาไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ในขณะที่พื้นที่สาธารณะนั้นจะต้องอยู่ในรูปแบบโลกวิสัย (secular) ที่ปลอดจากศาสนา ซึ่งเป็นหนึ่งในธรรมชาติที่ศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมไม่สามารถละทิ้งได้
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความเฉพาะตัวของการเกิดขึ้นของเสรีนิยมประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นในบริบทสังคมและประวัติศาสตร์ของตะวันตก ที่ค่อย ๆ เป็นเครื่องปูทางให้เกิดการปกครองและการจัดการสังคมในรูปแบบดังกล่าว ขณะที่การส่งออกแนวคิดเสรีนิยมและระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่สามารถทำให้เกิดบริบทและประวัติศาสตร์เหล่านั้นได้ แต่กลับเกิดข้อสรุปจากผู้ที่สนับสนุนการแจกประชาธิปไตยว่าประชาชน ศาสนา สังคมหรือวัฒนธรรมเหล่านั้นมีปัญหา โดยไม่มองถึงความเฉพาะตัวของแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย อย่างในกรณีของโลกมุสลิมนั้น นักวิเคราะห์บางคนได้มีการโต้แย้งว่า “อิสลามนั้นไม่ได้อยู่ในวิกฤต แต่เสรีนิยมนั้นอยู่” [7]
ยังคงมีอีกหลายประเทศที่เหตุการณ์ภายใน ซึ่งมีบริบทเฉพาะตัว มีประวัติศาสตร์และที่มาที่ไป ที่ชี้ให้เห็นว่าเสรีนิยมประชาธิปไตยนั้นอาจจะไม่ใช่คำตอบของการปกครองทั่วโลก เสรีนิยมประชาธิปไตยนั้นอาจจะไม่ใช่จุดหมายปลายทาง อาจจะไม่ใช่เส้นชัยที่ประเทศต่าง ๆ จะต้องถูกนำพาไปให้ถึงก็ได้
แน่นอนว่าหลักการต่าง ๆ ของแนวคิดเสรีนิยมและระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และในบรรดาประเทศต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงนั้นก็มีองค์ประกอบของหลักการเหล่านี้อยู่ แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม นั่นอาจจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการพัฒนาประชาธิปไตยก็เป็นได้ นั่นคือการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคม บริบทเฉพาะตัว และประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าในสายตาของคนในสังคมนั้น ๆ ไม่ใช่การดันทุรังเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างใหญ่หลวง จนสังคมเหล่านั้นต้องรับเอาความเฉพาะตัวในแบบตะวันตก จนอาจเรียกได้ว่าประเทศเหล่านั้นกลายเป็นตะวันตกไปแล้วตั้งแต่ความคิด ความเชื่อ คุณค่า และการปกครอง
และบางครั้งหลักการต่าง ๆ เหล่านั้นเองก็อาจจะไม่ใช่คำตอบเสมอไปก็ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็เช่นประเทศจีน
ในฐานะประเทศคอมมิวนิสต์ที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่ประเทศในโลก อาจกล่าวได้ว่าจีนกล้าที่จะปฏิเสธนิยามและความหมายของประชาธิปไตยแบบที่เข้าใจกันทั่วไป คือ ประชาธิปไตยตามแนวคิดเสรีนิยม แต่มีการจัดการเมืองการปกครอง และการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ผ่านประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง นั่นคือประชาธิปไตยของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งคือนิยามประชาธิปไตยแบบมาร์กซิสต์ (Marxism) [8]
เมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริง ทั้งในประเทศประชาธิปไตย ประเทศที่กำลังเป็นประชาธิปไตย หรือประเทศประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง มันอาจสะท้อนให้เราฉุกคิดได้ว่า หรือคำถามที่เราพยายามค้นหาคำตอบนั้นผิดตั้งแต่แรกหรือไม่ แทนที่เราจะค้นหาการปกครองที่ดีที่สุด ทำไมเราถึงไม่หันไปค้นหาการปกครองที่เหมาะสมที่สุดแทน
# TheStructureArticle
#เสรีนิยม #ประชาธิปไตย #ไม่เป็นสากล
อ้างอิง :
Magna Carta มหากฎบัตรแม่แบบการ “จำกัดอำนาจกษัตริย์” กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยที่ยึดอำนาจสำเร็จแต่ล้มเหลว
ไทยเป็นอันดับ 9 จากการวัดค่าความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index-GEMRIX) ปี 2022
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม