
เลือกตั้งอินเดีย : จะเกิดอะไรขึ้นหากโมดีชนะเป็นสมัยที่ 3 และ “ปฏิบัติการตะวันออก” ที่น่าจับตามอง บทความวิเคราะห์โดย รชฏ ปราการพิลาศ : นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
อินเดีย ประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเตรียมจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เรียกว่า “โลกสภา” ชุดที่ 18 ช่วงระหว่างเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม โดยประชาชนเกือบ 1 พันล้านคนจะมีสิทธิลงคะแนนเลือก ส.ส. จำนวน 543 ที่นั่ง
พรรค BJP (Bharatiya Janata Party) ที่ครองอำนาจตั้งแต่ปี 2557 ยังเป็นเต็งหนึ่ง นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียจากพรรค BJP อาจคว้าชัยชนะเป็นสมัยที่ 3 โดยมีสัญญาณความเป็นไปได้จากการเอาชนะพรรคคู่แข่งอย่างพรรค Congress ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักในการเลือกตั้งท้องถิ่นล่าสุด โดยเอาชนะไปได้ 3 ใน 5 รัฐ ได้แก่ รัฐราชาสถาน รัฐฉัตติสครห์ และรัฐมัธยประเทศ ซึ่งรัฐราชาสถาน และรัฐฉัตติสครห์ เป็นรัฐที่พรรค Congress เคยครอบครอง
ทั้ง 3 รัฐดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีการใช้ภาษาฮินดีอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีความสำคัญทางการเมืองอินเดีย ส่วนพรรค Congress คว้าชัยได้แค่ที่รัฐเตลังคานา
ก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2561 พรรค BJP พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นใน 3 รัฐดังกล่าว แต่การเลือกตั้งระดับประเทศปี 2562 พรรค BJP กลับเอาชนะพรรคฝ่ายค้านได้
พรรค BJP ของโมดี ให้ความสำคัญกับการขยายแนวคิดชาตินิยมฮินดู ตลอด 2 สมัยของการเป็นนายกรัฐมนตรี โมดีมักใช้ภาษาฮินดีสื่อสารกับประชาชน ยังได้รับการยอมรับจากผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง เพราะการพูดภาษาเดียวกันและการแสดงออกทางวัฒนธรรมได้สร้างความเชื่อมั่นต่อชาวอินเดียผู้ใช้ภาษาฮินดีซึ่งเป็นประชาชนชนชั้นกลางระดับล่างและระดับรากหญ้า
ยิ่งไปกว่านั้น โมดียังแต่งกายด้วยชุดสีสันแทนที่ชุดคลุมพื้นเมืองสีขาวซึ่งเหมือนเครื่องแบบของนักการเมืองอินเดีย รูปแบบการแต่งกายของโมดีจึงทำให้เป็นโมดีเป็นภาพตัวแทนของอินเดียในทางวัฒนธรรมและการเมืองซึ่งเป็นที่เข้าถึงได้ง่ายกว่านักการเมืองที่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแบบเดิม
พรรค Congress ภายใต้การนำของราหุล คานธี ได้นำ 25 พรรคฝ่ายค้านเข้าเป็น “กลุ่มพันธมิตรรวมเพื่อการพัฒนาแห่งชาติอินเดีย” (Indian National Developmental Inclusive Alliance – INDIA ) ที่มีจุดประสงค์เพื่อสกัดไม่ให้นเรนทรา โมดี ครองอำนาจต่อเป็นสมัยที่ 3 และเพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญของอินเดีย
กลุ่มพันธมิตร INDIA โจมตีการทำงานของรัฐบาลพรรค BJP ในหลายประเด็น ทั้งปัญหาภายในประเทศ เช่น ความขัดแย้งของกลุ่มชนพื้นเมืองในรัฐมณีปุระที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมากนับร้อยคน ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งกลุ่มพันธมิตร INDIA โจมตีนายกรัฐมนตรีโมดีว่าล้มเหลวกับการแก้ไขปัญหาการว่างงาน
อย่างไรก็ดี Morning Consult ได้เปิดผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอินเดียช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 รัฐบาลโมดีมีความนิยมกว่า 78% อันสะท้อนว่าความนิยมของโมดียังดีอยู่ ขณะที่ Fitch Ratings ประเมินว่ารัฐบาลโมดีมีแนวโน้มที่จะชนะการเลือกตั้งอีกสมัย ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินนโยบายต่าง ๆ มีความต่อเนื่อง
พรรค Congress ที่เคยครองอำนาจมาเนิ่นนานหลังอินเดียได้รับเอกราชยังดูไม่สามารถพลิกฟื้นความนิยมได้ พรรค Congress กำลังขายภาพลักษณ์เดิม ๆ ผ่านการชูผู้นำการเมืองที่มาจากตระกูลคานธี – เนห์รู ที่ดูจะเป็นวิธีที่ล้าสมัยกับการเมืองอินเดียไปเสียแล้ว
การชูราหุล คานธีให้เป็นผู้ท้าชิงนายกรัฐมนตรีหรือแกนนำของพรรคตลอดหลายปีที่ผ่านมากลับไม่ช่วยดึงคะแนนนิยมของพรรค Congress ให้สูงขึ้น ตรงข้าม การชูราหุลกลับทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรค Congress ระหว่างนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ต้องการปรับปรุงพรรคกับกลุ่มผู้อาวุโส สุดท้าย พรรค Congress กำลังเจอปัญหาคนรุ่นใหม่ลาออกไปอยู่พรรคอื่น
ที่ผ่านมา พรรค Congress ได้พยายามปรับวิธีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ดังเช่น ในเดือนกันยายน 2565 พรรคคองเกรสได้ดำเนินแคมเปญ การเดินรวมอินเดียเป็นหนึ่ง หรือ Bharat Jodo Yatra ที่ต้องการสื่อสารถึงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายของอินเดียซึ่งเป็นแนวทางที่ตรงข้ามกับพรรค BJP แต่แคมเปญดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ แคมเปญดังกล่าวของพรรค Congress เหมือนการหยั่งเสียงความนิยมกลายๆ
แต่ดูเหมือนพรรค Congress ยังไม่สามารถเพิ่มคะแนนนิยมได้ และมีแนวโน้มที่พรรค Congress อาจจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างยับเยิน
ทั้งนี้ พื้นที่ชี้ขาดผลการเลือกตั้งอินเดียครั้งที่จะเกิดขึ้น คือ รัฐอุตรประเทศที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากถึง 20 ล้านคน นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองอินเดีย คือ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่ทำให้ชาวอินเดียเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ได้มากขึ้นซึ่งจะให้พรรคต่าง ๆ เชิญชวนให้ชาวอินเดียออกไปเลือกตั้ง ทำให้คาดการณ์ว่า การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียในครั้งนี้จะมีผู้มาใช้สิทธิ์มากกว่า 60%
ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในปี 2562 พรรค BJP ได้ที่นั่งราว 303 ที่นั่งในโลกสภา จากทั้งหมด 543 ที่นั่ง ได้ป๊อปปูลาร์โหวต 229,076,879 คะแนน ขณะที่พรรค Congress ได้ 52 ที่นั่ง ได้ป๊อปปูลาร์โหวต119,495,214 คะแนน
หากพรรค BJP กลับมาครองอำนาจได้ การดำเนินแนวคิดชาตินิยมฮินดูจะยังเข้มข้นต่อเนื่อง พรรค BJP จะทำให้อินเดียมีบทบาทในประชาคมระหว่างประเทศมากขึ้น โดยพรรค BJP จะให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียใต้
ขณะเดียวกัน พรรค BJP จะผลักดัน “ปฏิบัติการตะวันออก (Act East Policy)” ซึ่งอินเดียได้มีการรื้อฟื้นกรอบความร่วมมือเก่า ๆ มากมายที่เคยมีร่วมกับประเทศในพื้นที่แถบนี้กลับมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็น BIMSTEC หรือการให้ความสำคัญกับอาเซียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศขนาดกลางและเล็กของอินเดีย เพื่อแสวงหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น
รวมถึงการสร้างความร่วมมือเพิ่มเติมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วย ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของอินเดียต่อทั้งสองประเทศทวีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตัวเลขการค้าและการลงทุนที่เติบโตอย่างมาก
ดังนั้น การที่อินเดียภายใต้การนำของพรรค BJP ที่มุ่งเน้นเอเชียถือเป็นโอกาสต่อไทยที่จะสร้างความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพื่อรักษาความสมดุลทางการต่างประเทศภายใต้การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจที่นับวันจะทวีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต ฉะนั้น มหาอำนาจขนาดกลางอย่างอินเดียจะเป็นหนึ่งในตัวแสดงสำคัญในอนาคต เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับไทยที่จะอาศัยพลวัตทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคง