Articlesลัทธินาซีในยูเครน ผู้ร้ายตัวจริงที่ “ที่สื่อเลือกข้าง” ไม่เคยพูดถึง

ลัทธินาซีในยูเครน ผู้ร้ายตัวจริงที่ “ที่สื่อเลือกข้าง” ไม่เคยพูดถึง

เช้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ หลังการเคลื่อนกำลังพลเข้าสู่ยูเครน ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ได้ประกาศว่าหนึ่งในพันธกิจหลักของปฏิบัติการทางการทหารในครั้งนี้คือ “การกำจัดนาซี” (denazification) ในประเทศยูเครน [1] สำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์ครั้งนี้คงมีคำถามว่า แล้วนาซีไปเกี่ยวข้องอะไรกับยูเครน? ส่วนคนที่ติดตามข่าวสารเรื่องสถานการณ์ที่ยูเครน ก็อาจจะได้รับข้อมูลมาในทางตรงกันข้ามว่าประธานาธิบดียูเครนก็เป็นผู้ที่มีเชื้อสายยิว มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะปล่อยให้มีกลุ่มนาซีอยู่ในประเทศยูเครน?

เรื่องนี้คงจะต้องเท้าความกลับไปในประวัติศาสตร์สักเล็กน้อย

เป็นที่รู้กันดีว่าหนึ่งในความเชื่อของลัทธินาซี (Nazism) คืออคติซึ่งเป็นลบต่อชนชาวยิว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เพียงแต่ชาวยิวที่ถูกเหยียดหยามและมีอคติ แต่ลัทธินาซียังคงมีความเชื่อและทำสิ่งเหล่านี้ต่อชนชาติอื่น ๆ ที่พวกเขามองว่าอยู่ต่ำกว่าชาวเยอรมัน-อารยันด้วย ไม่ว่าจะเป็น ชนชาวโรมานี (ชาวยิปซี), ชาวสลาฟ, ชนผิวสีชาวแอฟริกา หรือกระทั้งกลุ่มคนที่ลัทธินาซีมองว่า ‘ผิดธรรมชาติ’ หรือ ‘ไม่เป็นประโยชน์หรือเป็นภัยต่อสังคม’ เช่น ชาว LGBTQ+, ผู้ที่เป็นลูกครึ่งหลายเชื้อสาย (เพราะลัทธินาซียึดถือเรื่องความบริสุทธิ์ของสายเลือดเป็นอย่างมาก), หรือกระทั่งผู้พิการทางกายภาพ และยังรวมทั้งผู้ที่ถือลัทธิที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นอันตราย เช่นชาวคริสต์โปรเตสแตนท์กลุ่มพยานพระยะโฮวา (Jehovah’s Witnesses) หรือผู้ถือลัทธิมารกซิสต์-คอมมิวนิสต์ ก็ถูกเหยียดและต่อต้านโดยลัทธินาซีด้วย (เพราะนาซีถือว่าการที่คารล์ มารกซ์มีเชื้อสายยิว ผู้ที่มีความคิดแนวมารกซิสต์-คอมมิวนิสต์ก็เป็นผู้สนับสนุนชาวยิวไปโดยปริยาย) [2]

หลังจากการขยายตัวเข้าสู่ดินแดนต่าง ๆ ของนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลายครั้งที่กลุ่มผู้มีความคิดและความเชื่อในแนวทางเดียวกัน หรือกลุ่มผู้ที่สมผลประโยชน์กับฝ่ายนาซี ก็ได้เข้ามาร่วมมือกันในการปกครองหรือดูแลจัดการพื้นที่แต่ละท้องถิ่น ซึ่งยูเครนก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น

เมื่อครั้งยูเครนถูกเข้ายึดครองโดยฝ่ายนาซีเยอรมัน กลุ่มชาตินิยมสุดโต่ง (ultranationalist) ที่ชื่อว่า “องค์กรชาตินิยมยูเครน” (“Organization of Ukrainian Nationalists”) หรือ OUK ก็เป็นกลุ่มชาวยูเครนที่เข้าร่วมกับฝ่ายนาซีเยอรมันในลักษณะดังกล่าว นี่เองคือต้นกำเนิดของกระแสความคิดและขบวนการเคลื่อนไหวของชาวยูเครนกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อไปในทางเดียวกับลัทธินาซี กลุ่ม OUK นั้นเข้าร่วมกับนาซีเยอรมันในการกดขี่ชนชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชาวยูเครน ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็น “ศัตรู” ไม่ว่าจะเป็น ชาวยิว, ชาวโปแลนด์ และรวมทั้งชาวรัสเซียจากสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะชาวยิวและชาวโปแลนด์ที่มักจะเป็นเหยื่อของการสังหารหมู่จากกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งนี้ [3]

อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อยูเครนกลับเข้ามารวมอยู่ในสหภาพโซเวียต กระแสความคิดแบบนาซีภายในกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งของยูเครนนั้นก็ถูกกดดันจากฝ่ายโซเวียตให้กลายเป็นขบวนการนอกกฎหมาย ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นต้นกำเนิดให้กลุ่มชาตินิยมสุดโต่งของยูเครนมีความเคียดแค้นต่อสหภาพโซเวียตและรัสเซียอย่างรุนแรงมาจนถึงทุกวันนี้

หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ยูเครนก็ได้กลายมาเป็นประเทศเอกราช ด้วยปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ จุดยืนทางการเมืองระหว่างประเทศของยูเครนนั้นก็มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสมดุลระหว่างอิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา และประเทศรัสเซียซึ่งเป็นรัฐที่สืบต่อมาจากสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตามการที่ยูเครนมีชายแดนติดกับรัสเซีย ชนชั้นปกครองของยูเครนจึงหนีไม่พ้นที่จะมีนโยบายต่างประเทศที่โอนเอียงไปสู่ฝ่ายรัสเซีย ท่ามกลางสภาพการเช่นนี้เองที่กลุ่มชาตินิยมสุดโต่งของยูเครนก็ได้เริ่มค่อย ๆ กลับเข้ามามีบทบาทในสังคมอีกครั้ง

ในปี 2014 วิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุมก็ได้ปะทุขึ้น โดยมหาอำนาจตะวันตกนำโดยสหรัฐและสหภาพยุโรปนั้นได้สนับสนุนผู้ชุมนุมเพื่อโค่นล้มรัฐบาลยูเครนที่มีความฝักใฝ่รัสเซีย ไม่เพียงเท่านั้น มหาอำนาจตะวันตกก็ได้มีการใช้ทุกวิถีทางเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเปลี่ยนรัฐบาล (regime change) ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการเอากลุ่มชาตินิยมสุดโต่งที่ฝักใฝ่นาซีกลุ่มต่าง ๆ เข้าร่วมการชุมนุม รวมทั้งสร้างความปั่นป่วนในสังคมและเป็นกองหน้าในการก่อเหตุปะทะกันเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ

จนท้ายที่สุดเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็จบลงด้วยการรัฐประหาร ซึ่งก็มีหลักฐานหลุดออกมาว่ามหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างความวุ่นวายและการรัฐประหาร ผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ คือผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้านกิจการยุโรปและยูเรเชียในขณะนั้น (Assistant Secretary of State for European and Eurasian Affairs) วิคตอเรีย นูแลนด์ (Victoria Nuland) [4]

เราจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในยูเครนนั้นมีความสลับซับซ้อน แต่หนึ่งใน ‘หมาก’ ตัวหลักของความวุ่นวายนี้ก็คือกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มติดอาวุธ (paramilitary group) ซึ่งกลุ่มหลักในยูเครนนั้นมีชื่อว่า “กองพันอาซอฟ” (Azov Battalion) แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่ม “ภาคขวา” (Right Sector) หรือ “เสรีภาพ” (Svoboda) ซึ่งเป็นทั้งกลุ่มติดอาวุธและเป็นพรรคการเมืองด้วย

หลังจากจัดตั้งรัฐบาลที่สนับสนุนตะวันตก (pro-Western regime) ขึ้นมาได้ในยูเครนแล้ว กลุ่มชาตินิยมสุดโต่งเหล่านี้ก็ได้แสดงแสนยานุภาพต่าง ๆ ออกมาอย่างเปิดเผยและไร้การควบคุมจากรัฐบาลใหม่ กระทั้งกระแสแนวคิดนิยมนาซีที่เป็นเรื่องต้องห้าม (taboo) ในสังคมตะวันตก ก็กลับกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติในยูเครน

บทความจากวารสารสังคมการเมืองในสหรัฐ The Nation ในปี 2019 ได้มีการกล่าวถึงสถานการณ์ในบ้านเมืองยูเครนเกี่ยวกับการขยายตัวของกลุ่มชาตินิยมฝักใฝ่ลัทธินาซีเอาไว้อย่างน่าตกใจว่า “ทุกวันนี้มีรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงของฝ่ายขวาจัด ความคิดชาตินิยมสุดโต่ง และการลิดรอนเสรีภาพพื้นฐาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ความตื่นตาตื่นใจของตะวันตกในตอนแรก (หมายถึงการที่รัฐและสื่อตะวันตกสนับสนุนและชื่นชมการโค่นล้มรัฐบาลเดิมของยูเครน — ผู้เขียน) กลายเป็นเรื่องหลอกลวง มีเหตุการณ์พุ่งเป้าโจมตี (pogrom) ต่อชาวโรมา (ยิปซี), มีการโจมตีกลุ่มสตรีนิยมและ LGBT, มีการแบนหนังสือ, และการสดุดีผู้ทำงานร่วมกับนาซีโดยรัฐบาล (state-sponsored glorification of Nazi collaborators)” [5]

ตัวอย่างสุดท้ายในข้อความด้านบนนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เห็นถึงการขยายตัวของแนวคิดที่น่ากลัวนี้ แต่ยังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับข้าราชการและนักการเมืองระดับสูงของยูเครนอีกด้วย อีกตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือเรื่องราวของ “กองพันอาซอฟ” (Azov Battalion) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่พัฒนาจากแก็งอันธพาลชาตินิยมสุดโต่ง จนสามารถถูกรวมเป็นหน่วยหนึ่งของกองกำลังแห่งชาติของยูเครนได้

กองพันอาซอฟนั้น “เริ่มก่อตั้งในฐานะกลุ่มอาสาในช่วงเมษายน 2014 มาจากกลุ่มชาตินิยมสุดโต่ง [ชื่อ] แก็งผู้รักชาติยูเครน (Patriot of Ukraine) และ[มาจาก] กลุ่มสภาชาติสังคมนิยม (Social National Assembly; SNA) ซึ่งกลุ่มทั้งสองนี้มีอุดมการณ์เหยียดเชื้อชาติและ[นิยม]นาซีใหม่…ในฐานะกองพัน กลุ่มนี้ได้ต่อสู้อยู่แนวหน้าต่อต้านกลุ่มแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซียในเขตโดเนตสก์ ในภาคตะวันออกของยูเครน…กลุ่มนี้ได้ถูกรวมเข้ามาอยู่ในกองกำลังแห่งชาติ (National Guard of Ukraine) อย่างเป็นทางการในวันที่ 12 พฤษจิกายน 2014 และได้รับคำชื่นชมจากประธานาธิบดีในขณะนั้น เปโตร โปโรเชนโก (Petro Poroshenko) “นี่คือนักรบที่ดีที่สุดของพวกเรา” เขากล่าว” [6] อคติและความคิดเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรงของกลุ่มกองพันอาซอฟต่อชาวยิว, ชาวโรมา ฯลฯ และความเคียดแค้นเข้มข้นต่อรัสเซียนั้น จึงกลายมาเป็นเครื่องมือชั้นดีของชนชั้นปกครองใหม่และรัฐบาลโปรตะวันตกของยูเครน นี่จึงอาจเป็นคำอธิบายหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมรัฐบาล ณ กรุงเคียฟ จึงปิดตาข้างเดียวต่อการกระทำอันสุดโต่งของกองพันอาซอฟและกลุ่มนิยมนาซีต่าง ๆ ที่กระทำต่อประชาชนเชื้อชาติอื่น ๆ ที่อยู่ในยูเครน

ย้อนกลับไปที่คำถามในต้นบทความ เกี่ยวกับประธานาธิบดีคนปัจจุบันของยูเครนที่มีเชื้อชาติยิวว่าทำไมเขาถึงสามารถปล่อยให้มีกลุ่มนาซีเหล่านี้อยู่ในประเทศของเขาได้ ข้อมูลเหล่านี้จึงชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไรเมื่อเราเห็นถึงมิติที่บรรดา ‘หมาก’ ผู้นิยมนาซีเหล่านี้ถูกใช้ในเกมการเมืองระหว่างประเทศ และไม่เพียงเท่านั้นตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่ชาวยิวมีต่อกลุ่มที่ต่อต้านชาวยิวเอง ก็มีให้เห็นอยู่ในเหตุการณ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ชาวยิวในอเมริกายินดีจับมือกับฝ่ายขวาจัดกลุ่มต่าง ๆ ในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในยูเครน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการสนับสนุนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐอิสราเอลต่อประเทศปาเลสไตน์ เป็นต้น [7]

สถานการณ์ของยูเครนจึงเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ไม่ว่าจะพูดหรือโฆษณาชวนเชื้อสวยหรูว่าอะไร ท้ายสุด หากเป้าหมายและยุทธศาสตร์ของผู้กุมอำนาจปกครองประเทศมีการบรรจบกัน ก็จะทำให้อุดมคติกลายเป็นเรื่องวาทะกรรมที่ไม่มีความหมายใด ๆ ฝ่ายตะวันตกที่เป็นผู้นำในเรื่องสิทธิเสรีภาพและการสร้างสังคมที่ปราศจากความรุนแรงและอคติ เมื่อมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศที่ต้องการจะไปถึง พวกเขาก็สามารถทำทุกวิถีทางในการบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยการจับมือกับกลุ่มที่มีความคิดและพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับอุดมการณ์ขิงพวกพวกเขาก็ตาม พวกเขาก็สามารถสนับสนุนด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยเฉพาะผ่านสื่อ ในการฟอกขาวสิ่งที่เลวร้ายเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องน่าสนับสนุนได้อย่างง่ายดาย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า