
Liberal Hegemony ทำไมประเทศที่อ้างประชาธิปไตย ถึงชอบแทรกแซงกิจการของชาติอื่น
ทำความรู้จัก Liberal Hegemony ไขคำตอบ : “ทำไมประชาธิปไตยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
หลังจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตนักกิจกรรมการเมืองพม่า 4 คน ซึ่งรัฐบาลทหารของพม่าได้กล่าวหาว่า “ช่วยเหลือกลุ่มติดอาวุธสู้รบกับกองทัพ” โดยมีการตัดสินประหารชีวิตด้วยความผิด “ภายใต้กฎหมายต่อต้านก่อการร้ายและประมวลกฎหมายอาญา” ของประเทศพม่า [1] จากนั้นไม่นานผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุคส่วนตัวซึ่งมีเนื้อหา “เรียกร้องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้หยุดคบหา หยุดให้ความสนับสนุน และ กดดันรัฐบาลทหารเมียนมาร์ ให้ยุติการประหารชีวิตประชาชนผู้เห็นต่างจากรัฐบาล และคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว!” [2]
แน่นอนว่าหากติดตามการแสดงท่าทีของ ผศ.ปริญญา เกี่ยวกับประเด็นทางสังคม-การเมืองต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในนักวิเคราะห์-นักวิชาการจำนวนมาก ที่มีท่าทีไม่ยอมรับหรือเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาอยู่ตลอด
และเนื้อหาในโพสต์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ภายในของต่างประเทศ และไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการภายในและผลประโยชน์ของประเทศไทยนั้น ผศ.ปริญญากลับสามารถนำมันมาใช้เป็นประเด็นในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ได้ อย่างไรก็ตาม มุมมองและจุดยืนนี้อาจกล่าวได้ว่า ถือเป็นเรื่องปกติของ ผศ.ดร.ปริญญา และไม่ใช่ประเด็นหลักที่จะนำมากล่าวถึง
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ความเห็นของผศ.ดร.ปริญญา แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการขับเคลื่อนการเมืองด้วยแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย และการนำประเด็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในต่างประเทศมาเชื่อมโยงกัน ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้น เช่น การชุมนุมประท้วงหลายครั้งในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการโบกธงของขบวนการแบ่งแยกดินแดนทิเบต, อุยกูร์, ฮ่องกง, และไต้หวัน [3] ทั้งที่เราอาจจะกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ในเขตแดนเหล่านั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองของไทยเลยแม้แต่น้อย
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ควรจะมีการตั้งคำถามว่า ทำไมประชาธิปไตยนั้นดูเหมือนจะมีนิสัย “เข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน” อยู่ตลอด ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ : ทำไมนักวิชาการ, นักกิจกรรมการเมือง, หรือนักวิจารณ์การเมืองกลุ่มหนึ่ง ถึงชอบที่จะดึงประเด็นในต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเด็นภายในประเทศ
รวมทั้งยังเป็นจุดเริ่มในการตั้งคำถามได้ด้วยว่า ทำไมประเทศมหาอำนาจตะวันตก อย่าง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, หรือประเทศในยุโรปต่าง ๆ จึงมีความพยายามอย่างมากในการแทรกแซงกิจการภายในของต่างประเทศทั่วโลกในนามของ “ประชาธิปไตย”?
หนึ่งในสิ่งที่นักวิชาการด้านทฤษฎีรัฐศาสตร์ได้วิเคราะห์ออกมานั้น อาจจะเป็นคำตอบของคำถามนี้ โดยคำตอบดังกล่าวปรากฏอยู่ในแนวคิดที่เรียกว่า liberal hegemony อาจแปลเป็นไทยได้ว่า “ภาวะความเป็นมหาอำนาจแนวเสรีนิยม” (หรือ “อำนาจนำแบบเสรีนิยม”)
โดยหนึ่งในนักวิชาการหลักที่นำเสนอแนวคิดนี้ก็คือ ศ.จอห์น เมิร์ชไฮม์เมอร์ (John Mearsheimer) แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) ซึ่งเขาได้เสนอไว้ในหนังสือ The Great Delusion: Liberal Dreams and International Realities และในปาฐกถาปี ค.ศ. 2017 ณ มหาวิทยาลัยเยล (Yale University ; ซึ่งสำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเยลเป็นผู้พิมพ์หนังสือ The Great Delusion)
เขาได้กล่าวสรุปไว้ถึง “นิสัย” หรือแนวโน้ม (tendency) โดยเฉพาะในนโยบายและการดำเนินกิจการการเมืองระหว่างประเทศ ของประเทศมหาอำนาจเสรีประชาธิปไตย ในการเข้าแทรกแซงรัฐเอกราชอื่น ๆ ทั่วโลก โดยสามารถกล่าวอย่างสรุปได้ดังต่อไปนี้ [4]
แนวคิดเสรีนิยม (liberalism) นั้นตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า
- ความเป็นปัจเจกของมนุษย์นั้นมีความสำคัญที่สุด กล่าวคือ โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์นั้นมีความเป็นปัจเจกบุคคลที่เป็นเอกเทศ มากกว่าจะเป็น ‘สัตว์สังคม’ ที่มองถึงส่วนรวมเป็นหลัก
- สังคมนั้นพัฒนาขึ้นมาจากการที่ปัจเจกบุคคลเข้าร่วมกัน ‘ตกลง’ หรือ ‘ทำสัญญา’ ร่วมกันเพื่อประโยชน์ของแต่ละปัจเจก
- การรวมตัวกันนั้นสามารถทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างปัจเจกได้ โดยเฉพาะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความเห็นต่างเกี่ยวกับ “หลักการขั้นแรก” (first principle) นั้นคือ ประเด็นทางศีลธรรม (morality) ว่าอะไรดี-อะไรไม่ดี
โดยแนวคิดเสรีนิยมเสนอวิธีแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะเช่นนี้ ด้วยการให้อำนาจรัฐเพื่อ
- ปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานที่มิอาจพรากไปจากแต่ละปัจเจกบุคคลได้ (inalienable rights)
- สนับสนุนให้มีความอดทนอดกลั้น (tolerance) ในความเห็นต่างภายในสังคม
- ไม่เข้าแทรกแซงกิจกรรม หรือกิจการใด ๆ ของปัจเจกบุคคล (เรียกหลักการนี้ว่า “รัฐเฝ้ายาม” หรือ night-watchmen state)
ซึ่งหนึ่งในข้อสังเกตที่อาจให้คำตอบเกี่ยวกับ แนวโน้มในการเข้าแทรกแซงการเมืองต่างประเทศของแนวคิดเสรีนิยมนั้น ศ.เมิร์ชไฮม์เมอร์ อธิบายว่า สามารถกล่าวได้ว่ามีรากฐานมาจากแกนของแนวคิดเสรีนิยมนั้นเอง ซึ่งเขากล่าวไว้ว่า “การเน้นไปถึงสิทธิของปัจเจกของพวกเขาและเธอทั้งหลายนั้น ทำให้เสรีนิยมกลายมาเป็นแนวคิดที่พยายามเป็นสากล (universalist ideology)”
ความพยายามในการแผ่ขยายให้คุณค่าและหลักการต่าง ๆ ของแนวคิดเสรีนิยมกลายมาเป็นแนวคิดสากลนี้เอง ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้ประเทศมหาอำนาจที่ยึดถือแนวคิดนี้นั้น มีนโยบายต่างประเทศที่พยายามเข้าแทรกแซงกิจการของต่างประเทศ
โดยในปาฐกถาวันถัดมา (ปาฐกถาของศ.เมิร์ชไฮม์เมอร์ ณ มหาวิทยาลัยเยลนั้นมีขึ้น 3 ช่วงในระยะเวลา 4 วัน) [5] ศ.เมิร์ชไฮม์เมอร์ได้ขยายความถึง ‘คำโฆษณา’ ของการดำเนินนโยบายต่างประเทศบนรากฐานแนวคิดเสรีนิยมไว้ว่า
- จะขยายการปกป้องสิทธิมนุษยชน (human rights) ไปทั่วโลก
- จะทำให้เกิดสันติภาพระหว่างประเทศ (หรือที่เรียกว่า “ทฤษฎีสันติภาพจากประชาธิปไตย” ; democratic peace theory)
- จะเป็นการปกป้องแนวคิดเสรีนิยมที่มีอยู่ภายในประเทศจากแนวคิดอื่นๆ ที่จะมาทำลาย (ตัวอย่างเช่น แนวคิดคอมมิวนิสต์ ; ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Red Scare ในประเทศตะวันตก)
อย่างไรก็ตาม ศ.เมิร์ชไฮม์เมอร์ ซึ่งเป็นนักทฤษฎีรัฐศาสตร์ด้านการเมืองระหว่างประเทศในสำนักสัจนิยม (realism ; หรือบางครั้งเรียกว่า “สภาพจริงนิยม”) ได้วิพากษ์วิจารณ์ ‘คำโฆษณา’ เหล่านี้ไว้ว่าเป็น “คำสัญญาลวงของมหาอำนาจเสรีนิยม” (false promise of liberal hegemony)
เพราะหากพิจารณาถึงผลลัพธ์ของการดำเนินนโยบายบนรากฐานความคิดนี้ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อันใกล้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงการเมืองในตะวันออกกลาง หรือกระทั่งการแทรกแซงและชักใยการเมืองในยุโรปตะวันออกต่อรัสเซีย เราจะเห็นได้ว่าไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ตั้งเอาไว้
ในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน การแทรกแซงของตะวันตกทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางนั้น เต็มไปด้วยประเทศพันธมิตรของมหาอำนาจตะวันตก ที่มีระบอบการปกครองแบบเผด็จการ หรือในยูเครน หลังจากที่สหรัฐฯ สนับสนุนรัฐประหารแล้วทำการตั้งรัฐบาลใหม่ ก็ทำให้เกิดรัฐบาลที่มีแนวโน้มแบบขวาจัด เกิดกองกำลังที่มีแนวคิดฟาสซิสม์และนาซีใหม่ เกิดการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนต่าง ๆ มากมายในสังคมยูเครน หรือในเรื่องสันติภาพโลก
เราจะเห็นได้ว่าการเข้าแทรกแซงเพื่อแผ่ขยายลัทธิแนวคิดเสรีนิยมนั้น เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง และความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาคต่าง ๆ
จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เราจะเห็นได้ว่าตัวแนวคิดเสรีนิยมเอง และการส่งออกแนวคิดโดยประเทศเสรีนิยม ในกรอบของแนวคิด liberal hegemony นั้น สามารถเป็นตัวไขคำตอบและอธิบาย ‘นิสัย’ การชอบเข้าแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ หรือเข้าไป ‘ยุ่งเรื่องชาวบ้าน’ ของผู้ที่มีแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย ทั้งในระดับบุคคล อย่างกรณีของผศ.ปริญญา และเหตุการณ์โบกธงต่างประเทศในการประท้วงที่ผ่านมาในไทย และยังอธิบายในระดับรัฐ คือการที่มหาอำนาจตะวันตก มีความพยายามในการเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในนามของสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และประชาธิปไตย
ไม่ว่าแนวคิดเสรีนิยมนั้นจะถูกยึดถือว่าเป็นแนวคิดที่ยังประโยชน์ในมนุษย์และสังคม ที่ยึดถือแนวคิดนั้น ๆ การ “เข้าแทรกแซง” อธิปไตยของต่างประเทศนั้น ยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่ก่อให้เกิดผลเสีย ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงที่เกิดจากแนวคิดหรือหลักการที่ดีก็ตาม ทั้งนี้จึงขอทิ้งท้ายคำพูดของศ.เมิร์ชไฮม์เมอร์ เกี่ยวกับความสำคัญของอธิปไตยไว้ดังนี้ [5]
“ลองคิดกันดูถึงความไม่พอใจอย่างมากของสหรัฐฯ ต่อข้อกล่าวอ้างว่า รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งในปี 2016 จากการอ่านหนังสือพิมพ์จะเห็นได้ว่า ความคิดที่ว่ารัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งของพวกเรานี้ ทำให้คนอเมริกันเกรี้ยวกราดมาก แต่จริง ๆ แล้ว เรานั้นแทรกแซงการเลือกตั้งไปทั่วโลก เราแทรกแซงการเมืองในรัฐต่าง ๆ ทั่วโลก เราคิดว่าเรามีสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ชอบธรรมในการไปยังประเทศใด ๆ ก็ได้ และละเมิดอธิปไตยของพวกเขา หากมันเป็นการทำเพื่อ ‘เป้าหมายที่ชอบธรรม’ นั้นก็คือการสนับสนุนเสรีนิยมประชาธิปไตย
เรามีประวัติศาสตร์มากมายในเรื่องนี้ คุณก็รู้กันอยู่ แต่เหมือนที่แม่ผมสอนผมตอนที่ยังเป็นเด็กว่า ‘What’s good for the goose is good for the gander.’ (อะไรที่ดีกับห่านตัวผู้ก็ดีกับห่านตัวเมีย) ถ้าเราโกรธแค้นอย่างมากในประเด็นเรื่องอธิปไตย คุณไม่คิดหรือว่าผู้คนในประเทศอื่นก็จะรู้สึกเหมือนกัน?”
เล่ากฎหมายสากล กรณีบุคคลการเมืองทำกิจกรรม “ชี้นำ” เยาวชน ผิด หรือไม่ผิด ?
โค้งสุดท้ายผู้ว่าฯ 2565 เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าคูหา! ‘ส.ก.’ กับ ‘ผู้ว่าฯ’ ต่างกันอย่างไร?
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม