รู้จักกับ ‘การทูตภาคประชาชน’ และ ‘การทูตเชิงอาหาร’ ที่ไม่เพียงผลักดันให้ ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ระบือไกล แต่ยังทำให้อาหารไทยโด่งดังในระดับโลก
ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา “มิลลิ” (MILLI) หรือ ดนุภา คณาธีรกุล นักร้องแร็ปหญิงสัญชาติไทยได้ไปร่วมแสดงบนเวทีของค่าย 88rising ในงาน Coachella เทศกาลดนตรีระดับโลกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนึ่งในไฮไลท์ที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทยนั้นก็คือการที่มิลลิได้มีการทานข้าวเหนียวมะม่วงพร้อมกับการแสดงบนเวทีไปด้วย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผู้คนในสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะในทวิตเตอร์นั้นก็ได้มีการพูดคุยกันอย่างหลากหลาย โดยมีผู้ใช้จำนวนหนึ่งที่กล่าวว่านี้คือการที่มิลลิได้ใช้พลัง soft power เพื่อทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นที่สนใจแก่คนทั่วโลก [1]
อย่างไรก็ตามความเข้าใจว่าเหตุการณ์มิลลิกินข้าวเหนียวมะม่วงบนเวทีนั้นเป็นจุดเริ่มต้นหรือเป็นจุดประเด็นในการผลักดันอาหารไทยให้เป็นที่สนใจของสังคมโลกนั้นก็อาจจะเป็นการมองข้ามความพยายามของรัฐไทยในการนำอาหารไทยมาเป็นเครื่องมือสำคัญเครื่องมือหนึ่งในนโยบายต่างประเทศและนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นก็ได้มีการผลักดันนโยบายเหล่านี้ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว
นโยบายและโครงการต่าง ๆ ที่พยายามผลักดันอุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และร้านอาหารไทย นั้นก็มีมาตั้งแต่รัฐบาลชวน หลีกภัย ถึงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งก็มีการพัฒนาเป็นรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เป้าหมายก็ยังเหมือนเดิมนั้นก็คือการ ‘ส่งออก’ วัฒนธรรมไทยผ่านอาหารไทย และเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ
บทความหนึ่งจากเดอะ วอลล์สตรีตเจอร์นัล (The Wall Street Journal) เผยแพร่ตั้งแต่ครั้งปีพ.ศ. 2544 กรพจน์ อัศวินวิจิตร (ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย) ได้อธิบายถึงความพยายามของรัฐบาลไทยที่ตั้งเป้าให้ร้านอาหารไทยทั่วโลกขยายจำนวนมากขึ้นกว่า 3,000 ร้าน ซึ่งรูปแบบในครั้งนั้นคือการก่อตั้งบริษัทโกลบอล ไทย เรสเตอรองต์ จำกัดขึ้นโดยมีรูปแบบเป็นรัฐวิสาหกิจดำเนินกิจการโดยตรง [2] ซึ่งนี่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเริ่มของการบรรจุให้อาหารไทยอยู่ในนโยบายเศรษฐกิจและการต่างประเทศโดยรัฐบาล แม้ในระยะต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบนโยบายไปก็ตาม
โดยในรัฐบาลต่อมาก็ได้มีการพัฒนาโครงการ “ครัวไทยสู่โลก” ขึ้นมาสานต่อเป้าหมายเดิม ผ่านแผนงานต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์พัฒนาอาหารไทย, การแจกรางวัล PM Award และเครื่องหมาย Thai Select ให้ร้านอาหาร, การทำตราสัญลักษณ์ Thailand’s Brand ให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน, การจัดกิจกรรมระหว่างภาคเอกชนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดยมีรัฐเป็นผู้ประสาน ฯลฯ [2] ซึ่งผลของนโยบายนี้ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมานั้น ทำให้ร้านอาหารไทยโตขึ้นจาก 5,000 กว่าร้านขึ้นมามีจำนวนกว่า 15,000 ร้านทั่วโลก [3]
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากการนำอาหารเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ ก็ได้มีการประสานให้เกิดงานจัดแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารสำหรับการลงทุนและการส่งออกระดับภูมิภาคขนาดใหญ่นั้นก็คืองาน THAIFEX ที่มีการจัดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน [5] โดยในปีนี้มี “ผู้เข้าร่วมจัดแสดงมากถึง 1,200 ราย และผู้ซื้อที่มีศักยภาพมากกว่า 2,500 ราย ครอบคลุมอุตสาหกรรมอาหารถึงกว่า 11 อุตสาหกรรม” [6]
อีกตัวอย่างหนึ่งของนโยบายสนับสนุนและ ‘ส่งออก’ วัฒนธรรมไทย ซึ่งได้มีการขยายไปสู่ประเด็นอื่น ๆ นอกจากอาหารนั้นก็คือนโยบาย 5F ของรัฐบาลปัจจุบันที่ประกอบด้วยการส่งเสริม อาหาร (Food), ภาพยนตร์และสื่อบันเทิง (Film), แฟชั่น (Fashion), มวยไทยและศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย (Fighting), และเทศกาลไทย (Festival) [7]
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างหลัก ๆ ที่ทำให้เห็นว่าทุกรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มานั้นมีความพยายามในการผลักดัน ส่งเสริม และสานต่อนโยบายในการพัฒนาร้านอาหารไทย, วัฒนธรรมไทย, และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องผ่านโครงการต่าง ๆ ซึ่งในมุมหนึ่งก็เป็นการสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับคนไทยและประเทศไทย และอีกมุมหนึ่งที่สำคัญนั้นก็คือการสร้าง soft power ในการเมืองระหว่างประเทศ
ในทางวิชาการนั้น การใช้ ‘อาหาร’ เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศนั้นถูกเรียกในหลายชื่อเช่น gastro-diplomacy, culinary diplomacy, หรือ food diplomacy ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาย่อยของ “การทูตภาคประชาชน” หรือ “การทูตสาธารณะ” (public diplomacy หรือ people’s diplomacy) ซึ่งคือการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งโดยไม่ได้ผ่านหน่วยงานของรัฐโดยตรง แต่ผ่านองค์กร กลุ่มบุคคล หรือกระทั่งส่วนตัวบุคคลในภาคเอกชน-ประชาสังคม
ซึ่งในบทวิเคราะห์ของคุณทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ อดีตนักวิเคราะห์อาวุโส สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน ; หรือ สพร. , DGA) ปัจจุบันศึกษาอยู่ในระดับปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์ คณะธุรกิจการปกครอง และกฎหมาย มหาวิทยาลัยแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย (Faculty of Business, Government and Law, University of Canberra, Australia) ได้ให้ความเห็นว่านโยบายต่าง ๆ ที่ได้มีการยกตัวอย่างมาเหล่านี้นั้นควรจะอยู่ในขอบข่ายของ gastrodiplomacy หรือ public diplomacy มากกว่าที่จะใช้คำว่า soft power มาเป็นตัวอธิบาย นั่นเพราะในนิยามของคำว่า soft power นั้นจะเป็นการสนับสนุน คุณค่าหรือค่านิยม (value) หรือแนวคิดหนึ่ง ๆ ใด ๆ ที่เป็นนามธรรม ผ่านนโยบายหรือการกระทำใด ๆ ที่ไม่ได้ผ่านการใช้อำนาจทางกำลังทหารหรือเงิน
ตามคำอธิบายของคุณทศพลว่า soft power นั้นคือ “การทำให้ประเทศอื่นรักและศรัทธาในตัวเราในแบบที่เราเป็น เชื่อแบบที่เราเชื่อ ยึดมั่นในค่านิยมเดียวกับเรา สุดท้าย จะนำไปสู่การกระทำในสิ่งที่ประเทศเราต้องการโดยไม่ต้องใช้กำลังบังคับหรือไม่ต้องเสนอเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทน…เรื่องศิลปวัฒนธรรม อุตสาหกรรมบันเทิง รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์นั้น อยากให้มองในมุมของการใช้ประโยชน์จากต้นทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเมื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ อาจเรียกว่าเป็น Cultural Economy หรือ Public Diplomacy อาจจะเหมาะสมกว่า” [8][9]
กระนั้นเราอาจจะมองได้เหมือนกันว่าทั้ง cultural economy (เศรษฐกิจจากวัฒนธรรม), public diplomacy, หรือ gastrodiplomacy นั้นก็อาจจะอยู่ภายใต้ร่มเงาใหญ่ (umbrella) ของ soft power เพราะความสำเร็จทางเศรษฐกิจจากภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ก็อาจจะเป็นประตูของชาวต่างชาติเข้าสู่การทำความเข้าใจบริบทและค่านิยมในอัตลักษณ์แบบไทย ๆ ที่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสนใจที่จะศึกษาหรือปรับนำไปใช้ได้
“ประเทศไทยนั้นเรียกได้ว่าเป็นประเทศแรกที่เริ่มโครงการการทูตเชิงอาหาร (gastrodiplomacy) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้ช่วยขยายร้านอาหารไทยออกไปในฐานะที่คุณอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสถานทูตไทย(ขนาดเล็ก ๆ)ก็ได้…มันคือการสร้างแบรนด์ให้กับประเทศ (nation branding) แบบหนึ่ง เป็นแบรนด์ที่กินได้ของประเทศ (edible nation branding) ซึ่งมันเป็นวิธีการหนึ่งในการสนับสนุน soft power ผ่านการสนับสนุนวัฒนธรรม[ของตนเอง]โดยเน้นไปยังอาหาร…ผู้คนก็จะลองทาน[อาหารไทย]มากขึ้น พวกเขาเดินทางไปประเทศไทยมากขึ้น และการท่องเที่ยวก็ขยายตัวขึ้นเพราะ[นโยบาย]นี้” พอล ร็อคคาวเวอร์ (Paul Rockower) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทูตเชิงอาหารชาวอเมริกันกล่าว [4]
ดังนั้นไม่ว่าจะใช้คำว่าอะไรในการเรียกความพยายามของรัฐและความร่วมมือของเอกชน ผ่านนโยบายและโครงการต่าง ๆ มันก็น่าจะเป็นที่ยอมรับกันได้ทั่วไปว่าการที่ประเทศไทยนำอาหาร, วัฒนธรรม, การท่องเที่ยว เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ และนำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้และประสบความสำเร็จจริง
และอาจจะกล่าวสิ่งที่เหลืออยู่หรือก้าวต่อไปที่รัฐบาลต้องทำนั่นก็อาจจะคือการทำให้วัฒนธรรมไทยเหล่านั้นมีมูลค่าเพิ่มไปอีกระดับ ตามแบบอย่างการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นหรือเกาหลีเป็นต้น ทั้งนี้การขับเคลื่อนดังกล่าวนั้นก็ต้องการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งก็เป็นหนึ่งในความหวังที่จะนำประเทศไทยไปสู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจที่พัฒนาอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวางและเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้นต่อไป
อ้างอิง :
[1] ทวิตเตอร์ บอล ธนวัฒน์ วงศ์ไชย วันที่ 17 เมษายน 2565 เวลา 22:01น.
[2] Thai Government Plans 3,000 Restaurants In U.S. and Elsewhere to Promote Nation
[3] กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ โครงการ ครัวไทยสู่ครัวโลก ผ่านสื่อมวลชน
[4] Foodie culture is now part of foreign policy — It’s Gastrodiplomacy
[5] พิธีเปิด “THAIFEX- World of Food ASIA 2005” ยิ่งใหญ่
[6] เหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดมหกรรมงานแสดงสินค้าอาหารสุดยิ่งใหญ่ THAIFEX – Anuga Asia 2022
[7] 5 Soft power แบบไทยๆ ความหวังในการดัน ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ให้โดดเด่นในสายตาชาวโลก
[8] Book Chapter Ep. 14 ชวนคุยเรื่องข้าวเหนียวมะม่วงกับ Soft Power
[9] เฟสบุค ทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ วันที่ 19 เมษายน 2656 เวลา 20:06 น.
ทำไมมีคนเข้าข้างอดีตทีมงาน? ผ่าเรื่องโอปป้า ผ่านสายตา ‘ชาวมาร์กซิสม์’
เส้นแบ่งของ ‘สิทธิเด็กและเยาวชน’ ในทางการเมือง และ การมีส่วนร่วมใน ‘การชุมนุม’ หรือ เมื่อ ‘ความเป็นเด็ก’ และ ‘อภิสิทธิของเยาวชน’ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือใน ‘การประท้วง’ เพื่อหวังผลทางการเมือง
ประชาธิปไตย แนวคิดการปกครองที่เลวร้ายน้อยที่สุด แต่ก็ดีน้อยที่สุดเช่นกัน
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม