Articlesเส้นแบ่งของ ‘สิทธิเด็กและเยาวชน’ ในทางการเมือง และ การมีส่วนร่วมใน ‘การชุมนุม’ หรือ เมื่อ ‘ความเป็นเด็ก’ และ ‘อภิสิทธิของเยาวชน’ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือใน ‘การประท้วง’ เพื่อหวังผลทางการเมือง

เส้นแบ่งของ ‘สิทธิเด็กและเยาวชน’ ในทางการเมือง และ การมีส่วนร่วมใน ‘การชุมนุม’ หรือ เมื่อ ‘ความเป็นเด็ก’ และ ‘อภิสิทธิของเยาวชน’ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือใน ‘การประท้วง’ เพื่อหวังผลทางการเมือง

จากข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองมวลชน ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีเด็กและเยาวชนหรือเยาวชนเข้าร่วมการชุมนุมประท้วง การแสดงสัญลักษณ์ การจัดกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ หรือกระทั่งการ แสดงพลังที่หลายครั้งก็ได้เลยเถิดไปสู่การกระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง 

ปฏิกิริยาของผู้คนจำนวนหนึ่งนั้นอาจจะเป็นการแสดงความเห็นในทำนองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เช่น เด็กและเยาวชน ๆ ไม่ควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองหรือ การเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กและเยาวชน ๆ มีหน้าที่เรียนเป็นต้น 

แต่ในมุมตรงกันข้าม ก็จะมีการโต้แย้งขึ้นมาโดยมีฐานความคิดอยู่บนคำพูดทำนองว่า การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน’ 

อย่างไรก็ตาม คำว่า ทุกคนในที่นี้นั้น โดยนัยยะแล้วควรจะหมายถึงปัจเจกบุคคลที่มีสิทธิและความสามารถในทางกฎหมายเท่าเทียมกันในสังคม ซึ่งนั้นก็หมายถึงบุคคลที่บรรลุนิติภาวะและถือเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวโดยสมบูรณ์ 

คำถามจึงเกิดขึ้นว่าเด็กและเยาวชนและเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นควรจะถูกรวมอยู่ในคำว่า ทุกคนนี้ด้วยหรือไม่

หากไม่รวม นั้นก็แปลว่า สนามการเมืองคือสถานที่ที่เด็กและเยาวชนไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมใด ๆ ได้เลยงั้นหรือ?

 แต่หากรวมเด็กและเยาวชนและเยาวชนเข้าไปด้วย คำถามก็จะมีต่อไปว่า อะไรคือขอบเขตและความเหมาะสมในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของเด็กและเยาวชน 

เพราะข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาคือเด็กและเยาวชนและเยาชนในสังคมนั้นมีความไม่เท่าเทียมกับผู้ใหญ่ ทั้งในพัฒนาการทางความคิด ในบทบาทของสังคม และในระบบกฎหมาย คือเด็กและเยาวชนและเยาวชนนั้นมีทั้ง อภิสิทธิ์” (privilege) และ ข้อจำกัดมากกว่าผู้ใหญ่ 

ดังนั้นหากเด็กและเยาวชนและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองแล้ว อภิสิทธิ์และ ข้อจำกัดเหล่านั้นควรจะถูกยกเลิกไปหรือไม่? เพื่อให้มีความเท่าเทียมกันในสนามการเมืองและถือว่าเด็กและเยาวชนเป็น ปัจเจกบุคคลเท่ากับผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์

หรือหากจะไม่มีการยกเลิก อภิสิทธิ์และ ข้อจำกัดเหล่านั้น เราสามารถสรุปได้หรือไม่ว่าเมื่อเด็กและเยาวชนและเยาวชนก้าวเข้ามาสู่สนามการเมือง พวกเขานั้นมีข้อได้เปรียบและมีแต้มต่อในการขับเคลื่อนทางการเมืองมากกว่าผู้ใหญ่?

คำถามและการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นนี้นั้นดูจะมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบัน แม้จะยังไม่มีการพูดคุย ถกเถียง หาแนวคิดและข้อสรุป แต่เราก็ได้เห็นเยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเมืองมวลชนในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา และดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่จะมีมากขึ้น ๆ ประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรจะมีการหารือพูดคุยอย่างเร่งด่วนในสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียต่อเด็กและเยาวชน ๆ และครอบครัว และสังคมทั้งในเชิงปัจเจกและส่วนร่วม

ก่อนที่จะมีการพูดคุยไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางของการร่วมชุมนุม หรือเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบมวลชน หรือการแสดงออกทางการเมืองต่าง ๆ นั้น เราควรจะทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กและเยาวชนและเยาวชนนั้นมี อภิสิทธิ์ใดบางในทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเข้าร่วมการชุมนุม และการชุมนุมนั้นได้ขยายความรุนแรงขึ้น จนเยาวชนเหล่านั้นได้มีการกระทำผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำผิด

ในบทความของโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไอลอว์ (iLaw) ซึ่งคือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (หรือ NGO) ที่ทำงานด้านกฎหมายและสังคมออนไลน์ในประเด็นทางสังคมการเมือง 

โดยไอลอว์ได้มีการสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินการทางกฎหมายของเด็กและเยาวชนที่ แตกต่างและ พิเศษกว่าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ นั้นก็คือผู้ใหญ่ทั่วไป โดยเฉพาะที่อยู่ในพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ. ศาลเยาวชนฯ) [1]

ซึ่ง อภิสิทธิ์ของเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ต้องได้รับการบังคับใช้กฎหมายทั่วไปเหมือนผู้ใหญ่ แต่มีระเบียบแบบแผนในการบังคับใช้กฎหมายที่พิเศษออกไปนั้นก็สรุปได้อย่างสังคมเขปดังนี้

หากเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 10-15 ปี กระทำผิด การจับกุมนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีหมายจับหรือคำสั่งศาลเท่านั้น นอกจากนั้นจะจับกุมมิได้ 

ในกรณีเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 15-18 ปี จะต้องกระทำผิดซึ่งหน้า เช่นกัน หรือมีเหตุเร่งด่วน หรือหลบหนีหลังได้รับการประกันตัว หากเข้าเงื่อนไขนี้จึงจะมีการบังคับใช้กฎหมายจับกุมเช่นเดียวกับผู้ใหญ่

ในส่วนของการสืบสวน ต้องมีผู้ปกครองอยู่ในกระบวนการด้วย และต้องส่งตัวไปศาลภายใน 24 ชั่วโมง 

ในกระบวนการตรวจสอบการจับกุม ต้องมีการพิจารณาว่าจับกุมและปฏิบัติอย่างถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องปล่อยตัวในทันที

การพิจารณาคดี จะต้องมีที่ปรึกษากฎหมาย, ผู้ปกครองสามารถได้รับการแต่งตัวจากศาลให้เป็นผู้ดูแลและอำนวยความสะดวกให้เด็กและเยาวชนระหว่างพิจารณคดี, การพิจารณาความจะต้องเป็นความลับ

ศาลสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโทษอาญาเป็นการฝึกอบรมหรือคุมประพฤติตามแผนฟื้นฟูที่สถานพินิจจัดทำให้แทนรับโทษปกติ

เหล่านี้ โดยเฉพาะข้อสุดท้าย คือการที่สามารถเปลี่ยนโทษอาญาเป็นอย่างอื่นได้ แสดงให้เห็นว่าการเป็นเด็กและเยาวชนนั้นมีความพิเศษและเป็นสถานะที่สังคมและระบบกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้อย่างมาก เมื่อเทียบกับบุคคลทั่วไปที่เป็นผู้ใหญ่

อย่างไรก็ตามในบทความของไอลอว์นี้นั้น ได้มีการกล่าวถึงการชุมนุมของเด็กและเยาวชนว่า ได้รับความคุ้มครองไว้ในข้อที่ 15 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีเพื่อเป็นการพยายามชี้นำให้เห็นว่าแม้เด็กและเยาวชนจะได้รับ อภิสิทธิ์ในทางกฎหมายตามพ.ร.บ. ศาลเยาวชน 

แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ตรงตามหลักการเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของเด็กที่ระบุอยู่ใน อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” (Convention on the Rights of the Child) ของสหประชาชาติ

อย่างไรก็ดี เพื่อเราพิจารณาเนื้อหาของ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ถูกอ้างขึ้นมานั้นก็อาจจะกล่าวได้ว่านี่คือความพยายามในการชี้นำโดยไม่สนใจถึงเนื้อหาทั้งหมดจริง ๆ เพราะในอนุสัญญาฉบับดังกล่าว [2] ตั้งแต่ข้อ 13 ที่กล่าวถึงการคุ้มครองสิทธิในแสดงออกทางความคิดและการเข้าถึงข้อมูล 

ก็มีการกล่าวว่ารัฐสามารถมีการกำหนดข้อกฎหมายที่จำกัดของสิทธิเหล่านั้นได้ เพื่อการปกป้องความมั่นคงของรัฐ หรือเพื่อความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ หรือเพื่อ[ประเด็นทาง]สาธารณสุข หรือศีลธรรมอันดี” ([f]or the protection of national security or of public order (ordre public), or of public health or morals.) 

หรือในข้อ 14 ที่ระบุว่ารัฐต้องเคารพสิทธิในการนับถือหรือยึดถือความคิด, จิตสำนึก, หรือศาสนานั้นเอง ก็มีการระบุถึงการที่รัฐสามารถมีบทบัญญัติทางกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเหล่านั้นในทำนองเดียวกันคือ เพื่อป้องกันความมั่นคงปลอดภัย, ความสงบเรียบร้อย, สุขภาวะ, หรือศีลธรรมอันดีของสาธารณะ” (to protect public safety, order, health or morals) 

หรือกระทั่งข้อ 15 ที่บทความของไอลอว์ได้มีการยกขึ้นมา คือสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและชุมนุมอย่างสันตินั้น ก็มีการกล่าวถึงความสามารถของรัฐในการจำกัดสิทธิเหล่านั้นได้ 

เพื่อประโยชน์ต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยหรือความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ, การปกป้องสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี” (in the interests of national security or public safety, public order (order public), the protection of public health or morals)

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่ารัฐไทยนั้นมีการปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายภายในประเทศและอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี 

การกระทำผิดกฎหมายของเด็กและเยาวชนที่เกิดขึ้นในอดีตอันใกล้นี้นั้นจึงมีปฏิกิริยาจากรัฐไทยที่อะลุ่มอล่วยและไม่ได้เกินกว่าเหตุเลยในภาพกว้าง (เว้นแต่รายกรณีไป) ดังเช่นที่มีเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม ทะลุแก๊สที่มีการจุดพลุและเผารถกระบะของราชการซึ่งถือเป็นความผิด เจ้าหน้าที่ได้มีการประกาศว่าจะไม่มีการจับกลุ่มผู้ชุมนุม” [3]

ซึ่งถ้าเทียบกับการชุมนุมประท้วงที่ไม่ได้มี ฉากหน้าว่าเป็นการชุมนุมของเด็กหรือเยาวชน แต่เป็นการชุมนุมของประชาชนที่บรรลุนิติภาวะ หรือเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์นั้น 

ปฏิกิริยาของฝ่ายตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐนั้นก็อาจจะแตกต่างไปจากนี้มาก นี่เองจึงอาจจะเป็นเหตุผลที่ในระยะหลังนั้นเราจะเห็นการขับเคลื่อนมวลชนด้วยเด็กและเยาวชนกันอย่างล้มหลาม และซึ่งบางครั้งการชุมนุมประท้วงเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้นำโดยเด็กและเยาวชนจริง ๆ อย่างเช่นกลุ่ม นักเรียนเลวที่นำโดยนายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อ มิน นักเรียนเลวซึ่งในปัจจุบันนั้นก็มีอายุมากกว่า 18 ปี และถือว่ามิได้เป็นผู้ที่อยู่ในสถานะเยาวชนอีกต่อไป 

แต่การขับเคลื่อนทางการเมืองของเขานั้นก็แสดงออกภายใต้นัยยะว่าเป็นเด็กและเยาวชนตลอด ๆ เช่น การแต่งกายเลียนแบบชุดนักเรียน (ซึ่งก็เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนอีกด้วย) ทั้งที่เขาเองนั้นก็ไม่ได้สังกัดสถานศึกษาใด ๆ และเรียนในระบบการศึกษาที่บ้าน (homeschool) [4]

เราจึงอาจกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าในการขับเคลื่อนการเมืองมวลชนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น การเข้ามามีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนนั้นเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีความยุ่งยากมาก 

จากการตีความเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของเด็กภายในกรอบหรือขอบเขตของการมีส่วนร่วมทางการเมือง รวมถึงการพยายาม ชักจูงเด็กและเยาวชน หรือการใช้พวกเขาเป็น ฉากหน้าโดยผู้ที่มิได้เป็นเด็กหรือเยาวชนเสียเอง ซึ่งในกรณีนี้ก็มีความพยายามในการเรียกร้องเพื่อ ปกป้องสิทธิและเสรีภาพเด็กและเยาวชนไม่ให้ถูกนำไปในทางที่ผิดหรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง” [5]

ไม่ว่าการพูดคุยถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปในประเด็นนี้นั้นจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่จะต้องยอมรับกันนั้นก็คือในระบบกฎหมายและรวมทั้งในวัฒนธรรมประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งมาจากมโนทัศน์ของผู้คนในสังคมไทย และในอีกหลาย ๆ สังคมนั้น 

เด็กและเยาวชนก็ยังคงถือเป็นกลุ่มคนที่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง ดูแล ซึ่งพัฒนาไปเป็น อภิสิทธิ์และ ข้อจำกัดตามบทบัญญัติทางกฎหมาย การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของเด็กและเยาวชนนั้น เมื่อเทียบกับบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่นั้นจึงหลีกหนีไม่ได้ที่จะมีความได้เปรียบและแต้มต่อในทางกฎหมายมากกว่า 

และสิ่งนี้เองจึงเป็นเหตุผลที่พอจะสรุปคาดเดาได้ว่า หากยังไม่มีการพูดคุยถึงกรอบและขอบเขตการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองและการชุมนุมของเด็กและเยาวชนจนได้ข้อสรุปร่วมกัน โดยเฉพาะในภาครัฐ 

การที่เด็กและเยาวชนจะมีความเสี่ยงในการตกเป็น เหยื่อและเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือการที่เด็กและเยาวชนที่มองเห็นถึงความได้เปรียบของพวกเขานั้นจะขึ้นมาเป็น ผู้กระทำการเคลื่อนไหวด้วยตัวของเขาเองนั้น เราก็คงจะเห็นการใช้ ความเป็นเด็กในสนามการเมืองอยู่ต่อไป 

อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า