พีต้า แบนกะทิชาวเกาะไทย ด้วยข้อกล่าวหา ทารุณกรรมลิง สะท้อนอคติเหยียดหยามชาวตะวันออกที่ฝังรากลึกมานาน
เป็นข่าวอีกครั้งเมื่อกะทิและผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวจากประเทศไทยถูกเลิกวางจำหน่ายในร้านค้าเนื่องมาจาก ‘ข้อกล่าวหา’ (allegation) ขององค์กรอิสระสัญชาติอเมริกันอย่าง “องค์กรประชาชนเพื่อการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีจริยธรรม” หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า PETA ซึ่งครั้งนี้ห้าง Walmart ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในอเมริกา ได้เลิกวางจำหน่ายกะทิยี่ห้อ “ชาวเกาะ” ผลิตโดยบริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกกะทิสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย [1]
รายงานของ PETA นั้นไม่เพียงแต่จะกล่าวว่าการใช้แรงงานลิงในการเก็บมะพร้าวในประเทศไทยนั้นถือเป็น ‘การทารุณกรรมสัตว์’ ซึ่งถือเป็นแต่คำที่ความรุนแรง อีกทั้งรายงานนี้ยังมีการ ‘พุ่งเป้า’ ไปยังผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวเพียงยี่ห้อเดียวนั้นคือยี่ห้อ “ชาวเกาะ” โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย [2] และไม่เพียงเท่านั้น บริษัทผู้ผลิตกะทิชาวเกาะก็ได้มีการติดต่อไปยัง PETA “หลายครั้ง ว่าพวกเขาได้สืบสวนที่[ไร่]ไหน เพื่อเราจะได้เลิกการกระทำแบบนี้ที่ต้นตอ แต่พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะพูดคุยหรือร่วมมือกับเรา” [3]
นี่จึงเป็นสิ่งที่ชวนตั้งคำถามถึงความต้องการที่แท้จริงของ PETA ในการฉายภาพว่าการใช้แรงงานลิงว่าเป็นสิ่งที่รุนแรงและทารุณ รวมทั้งการพุ่งเป้าไปยังผู้ผลิตรายใหญ่รายเดียวและปฏิเสธที่จะร่วมมือในการล้มเลิกการปฏิบัติเช่นนี้ที่ต้นตอ
อีกทั้งเราควรจะทำความเข้าใจด้วยว่ารายงานที่ได้มีการเปิดเผยนั้น แม้ว่าทาง PETA จะกล่าวว่ามาจากการสืบสวนสอบสวน แต่ก็ยังคงถือเป็นเพียง ‘ข้อกล่าวหา’ (allegation) เท่านั้น นั่นก็เพราะเป็นข้อมูลที่รายงานออกมาโดยไม่ได้รับการยืนยันจากการ “สืบสวนสอบสวนอิสระ” (independent investigation) อื่น ๆ ที่เป็นเอกเทศ ที่จะมาสนับสนุนข้อกล่าวหาของ PETA ว่าเป็นความจริงได้
ดังนั้นการที่บริษัทค้าปลีกและห้างร้านต่าง ๆ เช่น Walmart, Target, Walgreens, หรือ Costco ที่เลิกจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของไทยเรา [1] นั้นเราอาจจะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่ามีเหตุผลในการเลิกจำหน่ายจากการอ้างอิงเพียง ‘ข้อกล่าวหา’ เท่านั้น ไม่ได้มาจากการอ้างอิงถึง ‘ข้อเท็จจริง’ ที่เป็นประจักษ์ใด ๆ
อีกคำถามหนึ่งก็อาจจะถามได้นั้นก็คือว่า PETA ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ (NGOs) สัญชาติอเมริกัน สามารถรณรงค์ให้ผู้ค้าปลีกเลิกนำเข้าและจำหน่ายมะพร้าวไทยนั้น เป็นผู้ค้าสัญชาติอเมริกันเหมือนกัน ในขณะที่ทางการและภาคธุรกิจของฝั่งยุโรปกลับมีความเข้าใจอันดีมากกว่า ซึ่งไทยได้มีการส่งตัวแทนรวมทั้งคณะทูตเข้าศึกษาและฟังข้อชี้แจงที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ได้ชี้แจ้งไป ซึ่งมีรายงานว่า “ได้พูดคุยกับตัวแทนห้างสรรพสินค้าในอังกฤษและประเทศอื่นๆ ในยุโรปแล้ว ซึ่งทั้งหมดเข้าใจวัฒนธรรมของไทย และที่สำคัญมะพร้าวที่เข้ามาแปรรูปในอุตสาหกรรม ใช้แรงงานคนและเครื่องจักร สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ส่วนลิงขึ้นมะพร้าว เป็นวิถีชีวิตชุมชนที่อยู่คู่กันมานาน ซึ่งจะฝึกเก็บมะพร้าวบริโภคในท้องถิ่น แต่ไม่เข้าไปในระบบอุตสาหกรรม” [4]
หากเราจะตั้งคำถามว่าทำไม PETA มีความมุ่งมั่นอย่างรุนแรงในการกล่าวหาว่าการใช้แรงงานลิงนั้นเป็นการทารุณกรรมสัตว์อย่างไร้จริยธรรม, ทำไม PETA ถึงพุ่งเป้าไปยังผู้ผลิตและสินค้าเพียงตัวเดียว, และทำไมผู้ค้าปลีกสัญชาติอเมริกัน ซึ่งเป็นสัญชาติเดียวกับ PETA นั้นเชื่อข้อกล่าวหาอย่างไม่ตั้งข้อสงสัยและตกลงที่จะเลิกจำหน่าย ในขณะที่ผู้ค้าปลีกยุโรปดูจะมีท่าทีที่เข้าใจมากกว่า ข้อสันนิษฐานที่ได้นั้นอาจจะมีอยู่สองอย่างนั้นคือ PETA และผู้ค้าฝั่งอเมริกันนั้นอาจจะ ‘มีอคติ’ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว และอีกข้อสงสัยหนึ่งคือ PETA และผู้ค้าฝั่งอเมริกันมีผลประโยชน์ใด ๆ ร่วมกันในการรณรงค์เลิกจำหน่ายผลิตภัณฑ์มะพร้าวไทย
ในเรื่องของอคตินั้น เราอาจจะทำความเข้าใจกันได้ชัดเจนขึ้นถ้าเราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ทางความคิดหนึ่งที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า “Orientalism” ซึ่งมีการแปลเป็นไทยว่า “บูรพาคดีศึกษา” (สำหรับผู้เขียนนั้นมีความคิดว่า “บูรพาคตินิยม” นั้นอาจจะเป็นคำที่เหมาะสมกว่า โดยจะอธิบายถึงเหตุผลต่อไป)
แนวคิด Orientalism นั้นได้รับการอธิบายและตั้งชื่อขึ้นโดยนักวิชาการชาวอเมริกาเชื้อสายอาหรับ (ปาเลสไตน์) นามว่า เอ็ดเวิร์ด ซาอีด (Edward Said ; إدوارد سعيد) ซึ่งในงานเขียนชื่อเดียวกัน (“Orientalism” เขียนขึ้นในปีค.ศ. 1978) เขาได้อธิบายให้เห็นถึงการทำความเข้าใจ (conceptualization) ของชาวตะวันตก (ฝรั่ง) ต่ออารยธรรม สังคม วัฒนธรรมประเพณี และผู้คนชาวตะวันออก (ชาวเอเชีย แต่หลายครั้งรวมถึงชาวแอฟริกาและอมเริกาพื้นถิ่นด้วย)
ซึ่งโดยมากแล้วนั้น ข้อสรุปที่ชาวตะวันตกได้ตกผลึกมา ในมุมหนึ่งอาจจะมองเห็นถึงโลกตะวันออกที่เต็มไปด้วยความเป็นอุดมคติ, ความลึกลับชวนน่าหลงใหล, ความละเอียดลออทางศิลปวัฒนธรรม, โลกทัศน์ที่เต็มไปด้วยแรงศรัทธาและความเชื่ออันแรงกล้า เป็นต้น แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ก็คือการเข้าใจโลกตะวันออกในฐานะดินแดนแห่งความป่าเถื่อน ไร้อารยะ ไร้ซึ่งเหตุผลและการใช้ปัญญา เต็มไปความลุ่มหลงในอารมณ์ ซึ่งเป็นเหตุให้ไม่สามารถ ‘เจริญ’ เทียบเท่ากับโลกตะวันตกได้
ชุดความคิดเหล่านี้เองที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างความชอบธรรมให้กับมหาอำนาจตะวันตกในการแผ่ขยายอิทธิพลทั้งทางกายภาพ ผ่านกำลังทหาร และทางความคิด ผ่านแนวคิดการเมืองการปกครองและรวมทั้งผ่านศาสนา เข้าไปสู่ดินแดนอื่น ๆ ทั่วโลก จนเกิดเป็นการล่าอาณานิคมต่าง ๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เกิดมาจาก ‘อคติ’ ที่โลกตะวันตกนั้นมีต่อตะวันออก นั่นคืออคติทั้งในมุมของการเข้าใจผิด ๆ หรือในมุมความคิดเชิงเหยียดหยาม
(นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เขียนคิดว่าคำว่า “บูรพาคตินิยม” ถึงน่าจะเป็นคำแปลของคำว่า Orientalism มากกว่า นั่นเพราะมาจากคำว่า “บูรพะ” ที่แปลว่า ‘ตะวันออก’ และคำว่า “อคติ” ซึ่งเมื่อรวมกับคำว่า “นิยม” เข้าไปก็ได้ความหมายว่า ‘ความนิยมหรือโอนเอียงที่มาจากความคิดอันเป็นอคติต่อ[โลก]ตะวันออก’ นั่นเอง)
ย้อนกลับไปถึงประเด็นแรก บางคนอาจจะสงสัยว่าแล้วการที่ PETA รณรงค์ให้เลิกทารุณกรรมสัตว์ และการที่ห้างร้านต่าง ๆ เลิกจำหน่ายกะทิจากไทยนั้น มันเกี่ยวข้องกับอคติเหล่านี้จริง ๆ หรือ? หนึ่งในตัวอย่างที่อาจจะยกขึ้นมาให้เห็นภาพได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ กระแสการรณรงค์ให้เลิกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับช้าง ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีชาวตะวันตกออกมาแสดงความคิดเห็นลักษณะนี้กันมากมาย
ในคลิปรายการ Checked In ของสำนักข่าว AJ+ (สำนักข่าวลูกของ Al Jazeera) ตอนหนึ่งที่พาไปสำรวจและตั้งคำถามเกี่ยวกับช้างในการท่องเที่ยวของประเทศไทยนั้น ได้มีการสัมภาษณ์คุณธีรภัทร ตรังปราการ ประธานสมาคมสหพันธ์ช้างไทย ซึ่งพิธีกรรายการนั้นก็ได้ตั้งคำถามว่า “คุณคิดไหมว่าการถกเถียงกันในเรื่องนี้นั้น โดยมากแล้วมาจากการที่ชาวตะวันตกไม่เชื่อใจคนไทยทั้งที่พวกเขาอยู่กับสัตว์เหล่านี้มาเป็นเวลาร้อย ๆ ปีรึเปล่า?” คุณธีรภัทร ก็ได้ตอบกลับไปว่า “ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่น ๆ ของโลก อย่างในอเมริกาหรือยุโรปนั้น ตัดสินผู้คนที่ทำงานโดยตรงกับช้างเหล่านี้อย่างผิด ๆ…จริง ๆ แล้วมันเป็นเวลาพัน ๆ ปีด้วยซ้ำที่ผู้คนชาวไทยและชาวเอเชียนั้นเลี้ยงพวกเขาเป็นช้างบ้าน ซึ่งก็น่าจะพอ ๆ กับการที่ชาวตะวันตกเลี้ยงม้านั่นแหละ” [5]
คุณธีรภัทรยังคงอธิบายต่ออีกว่าเมื่อการใช้ช้างเป็นแรงงานนั้นได้ยุติลงหลังจากการเลิกธุรกิจตัดไม้ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกันมาเวลายาวนานในประวัติศาสตร์ไทย ช้างจำนวนมากที่เคยเติบโตและถูกเลี้ยงให้ทำงานกับมนุษย์นั้น ก็ไม่มีความจำเป็นอีก กระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ในป่าได้เหมือนช้างป่าอีกต่อไปแล้ว “วันนึงเราบอกช้างพวก พวกคุณกลับบ้านได้แล้ว แต่มันไม่มีบ้าน ช้างพวกนี้นั้นอยู่กับมนุษย์มาทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะมีชีวิตรอดได้ด้วยตัวเอง” [5]
บทสรุปปิดท้ายของรายการนั้นก็ได้กล่าวว่า ในมุมหนึ่งการเลี้ยงช้างด้วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็อาจจะเป็นวิธีการสำคัญวิธีหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์ช้างเอาไว้ก็ได้ และก็ได้มีการเตือนให้ผู้คน “ระวังไม่คิดเองเออเองหรือเอาความคิดของเราไปเผยแพร่โดยไม่พิจารณาถึงโลกที่ซับซ้อน” [5] เราอาจจะกล่าวได้ว่าความพยายามและการรณรงค์ของชาวตะวันตกจำนวนหนึ่งในการพยายามต่อต้านหรือยกเลิกการอนุรักษ์สัตว์ผ่านการท่องเที่ยวนั่น ก็ถือเป็น ‘อคติ’ ที่ผิด ๆ ที่พวกเขาอาจจะมีจากความไม่เข้าใจหรือการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งเมื่อเทียบกับในกรณีของลิงเก็บมะพร้าวก็เหมือนกัน ชาวบ้านชาวไร่จำนวนหนึ่งนั้นถือว่าการใช้ลิงช่วยเก็บมะพร้าวเป็น “ภูมิปัญญา” ที่ควรจะได้รับการเข้าใจและเรียนรู้ [6] หรือที่ชาวไร่มะพร้าวจากชุมพรท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่าการเลี้ยงลิงมาช่วยมนุษย์ในการเก็บมะพร้าวนั้นเป็น “วิถีชาวบ้านที่อยู่กับสัตว์นั้นมีมานานตั้งแต่บรรพบุรุษ ไม่ว่าเลี้ยงควาย เลี้ยงวัวเลี้ยงช้างเพื่อการเกษตรและการเลี้ยงลิงกังไว้ขึ้นมะพร้าวก็เช่นเดียวกัน” [7]
ซึ่งแน่นอนว่าแม้เราจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการใช้แรงงานสัตว์ในทุกรูปแบบนั้นจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ไม่เป็นไปตามจริยธรรมอันเป็นอุดมคติ แต่การตีขลุมและเหมารวมด้วยอคติโดยปราศจากการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ และเมื่อมีการทำเช่นนั้นโดยตั้งใจ อย่างในกรณีของ PETA ที่มีข้อกล่าวหาแต่ไม่ได้มีความร่วมมือในการหาข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจริง ๆ ก็ได้แต่ตั้งคำถามว่าเป้าหมายที่พวกเขาทำนั้นมีจุดประสงค์จริง ๆ เพื่ออะไรกันแน่
อ้างอิง :
[1] Walmart pulls Chaokoh coconut milk from stores amid PETA allegations of forced monkey labor
[2] Monkeys Chained, Abused for Coconut Milk
[3] PETA’s orientalism threatens local jobs in Thailand with ill-informed monkey campaign
[4] ยุโรปเริ่มเข้าใจลิงเก็บมะพร้าวของไทยแล้ว
[5] Why There Are No Elephant Sanctuaries in Thailand
ก้าวสู่ความเป็นมหาอำนาจในแบบจีนไม่ ‘ยึดติดกับทฤษฎี’ แต่ปรับใช้ให้เข้ากับ ‘อัตลักษณ์ในแบบของตัวเอง’
หลีกเลี่ยงการถูกชี้นำทางความคิด เลิกเปรียบเทียบคน เลิกเปรียบเทียบ ‘ประเทศ’
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม