กรณีกองทัพอิสราเอลยิงนักข่าว Al-Jazeera กับพฤติกรรมสองมาตรฐานของสื่อมวลชนตะวันตก
ในตะวันตกคำว่า “ฐานันดรที่สี่” มักถูกนำมาใช้เรียกนักข่าว, ผู้สื่อข่าว, หรือ สำนักข่าวในบางครั้ง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่ามาจากบทบาทหน้าที่ของสื่อที่ทำการนำเสนอข้อเท็จจริงต่าง ๆ หรือ ‘เป็นหูเป็นตา’ ให้กับผู้คนในสังคม
ปฏิสัมพันธ์หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสื่อจึงจำเป็นที่จะต้องกระทำไปโดยอยู่บนฐานของข้อเท็จจริง การระมัดระวังความเหมาะสม และการเคารพสิทธิเสรีภาพของสื่อ และโดยเฉพาะรัฐบาลหรือหน่วยงานราชการนั้นก็มีความจำเป็นในการมีความสัมพันธ์อันดีกับสื่อหรือดำเนินกิจการใด ๆ ต่อสื่อด้วยความละมุนละม่อม
ดังนั้นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่สื่อพึงมีและเป็นผู้ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการกระทำนั้นเป็นการทำร้ายสื่อคือนักข่าวหรือผู้สื่อข่าวในทางกายภาพหรือร่างกาย จึงจะนำไปสู่การพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมภายในประเทศนั้น ๆ และจากประเทศหรือองค์กรอื่น ๆ ภายนอก
ดังนั้นถ้ามีการทำร้ายนักข่าวหรือมีการฆาตกรรมผู้สื่อข่าวในประเทศหนึ่ง ๆ เราน่าจะพูดได้ว่าประเทศนั้นจะโดยวิพากษ์วิจารณ์จากประเทศอื่น ๆ หรือองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ อย่างหนักหน่วงแน่นอน
อย่างไรก็ตามนั่นคือความเข้าใจในทางทฤษฎี เพราะในทางปฏิบัติแล้ว โลกความเป็นจริงนั้นมี “ข้อยกเว้น” ที่จะทำให้การวิพากษ์วิจารณ์นั้นอาจจะเบาบางลงหรือไม่ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับใครหรือฝ่ายใด พูดง่าย ๆ ว่าการจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กนั้นขึ้นอยู่กับว่าคน ๆ นั้น “เป็นคนของใคร”
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีการรายงานว่าผู้สื่อข่าวอาวุโสของสำนักข่าวอัลจาซีรา (Al Jazeera) นางชีรีน อบู อากละห์ (Shireen Abu Akleh ; شيرين أبو عاقلة) ถูกยิงเสียชีวิตโดยกองทัพอิสราเอลขณะกำลังรายงานข่าวภาคสนาม [1]
ชีรีนเป็นนักข่าวที่ทำงานภาคสนามรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารในประเทศปาเลสไตน์และอิสราเอล โดยเฉพาะการเข้าบุกรุกของกองทัพอิสราเอลต่อประเทศปาเลสไตน์
ชีรีนนั้นเป็นชาวปาเลสไตน์ แต่ก็มีสัญชาติอเมริกัน ด้วยจุดนี้เองการเสียชีวิตของเธอจากน้ำมือของกองทัพอิสราเอลจึงเป็นประเด็นที่ “เป็นข่าว” ขึ้นมา เพราะแม้ว่ารัฐอิสราเอลและกองทัพอิสราเอลนั้นจะมีความขัดแย้งอย่างยาวนานกับประเทศและประชาชนชาวปาเลสไตน์
และประเทศพันธมิตรตะวันตกนั้นก็มักจะ ‘เอาหูไปนาเอาตาไปไร่’ กับการกระทำที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานของชาวปาเลสไตน์ จนอิสราเอลไม่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือถูกดำเนินการอะไรไปมากกว่าการ ‘แสดงท่าที’ เล็ก ๆ น้อย และไม่เคยถูกประเทศตะวันตกประณามหรือมีการคว่ำบาตร
แต่ด้วยการที่ชีรีนถือเป็นพลเมืองอเมริกันด้วย จึงทำให้การเสียชีวิต-ฆาตกรรมของเธอนั้นกลายมาเป็นข่าวที่สำคัญพอที่จะถูกรายงาน และถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงท่าทีที่แข็งขันกว่าเดินจากสถานะการเป็นพลเมืองอเมริกันของชีรีน [2]
ไม่เพียงเท่านั้นชีรีนยังเป็นชาวปาเลสไตน์ที่นับถือศาสนาคริสต์อีกด้วย [1] ข้อเท็จจริงเหล่านี้นั้นถือว่าเธอนั้นเป็น ‘คนของตะวันตก’ มากพอที่จะได้รับความสนใจและน่าเห็นใจ
ซึ่งอาจจะมีการคำถามได้ว่าหากสมมติว่าชีรีนไม่ได้มีสัญชาติอเมริกัน และไม่ได้เป็นผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ และทำงานให้กับสำนักข่าวท้องถิ่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลกแล้ว เช่นนั้นแล้วปฏิกิริยาของรัฐบาลหรือองค์กรตะวันตกทั้งหลายนั้นจะมีความแข็งขันเท่ากับที่เป็นอยู่หรือไม่?
และเราอาจจะสรุปได้ว่าท้ายที่สุดการเห็นใจหรือท่าทีการเรียกร้องความยุติธรรมเหล่านี้นั้นก็ไม่น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างจริงจังของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์
เพราะหากย้อนกลับไปในสมัยประธานาธิบดีโอบามา เราจะเห็นได้ว่า ขนาดผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของการเมืองอเมริกากล่าวอย่างเปิดเผยว่าการบุกรุกพื้นที่ของอิสราเอลเข้าไปยังประเทศปาเลสไตน์นั้นผิดกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประณาม [3][4]
แต่ท้ายที่สุดรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลใด ๆ จากอิสราเอลนอกเสียจากการแสดงออกทางคำพูดเท่านั้น
การกล่าวว่าอิสราเอลสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่มีปฏิกิริยาที่เห็นผลลัพธ์จริง ๆ นั้น ก็อาจจะไม่ได้เป็นคำพูดที่เกินจริงนัก นั่นเพราะอิสราเอลนั้นเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับประเทศสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศในโลกตะวันตก
อีกหนึ่งตัวอย่างที่เราอาจจะนำมากล่าวถึง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนักข่าวผู้ทรง “ฐานันดรที่สี่” นั้นก็อาจจะกล่าวได้ถึงการฆาตกรรมนายจามาล คาโชกจี (หรือ จญะมาล คอชุกจญี ; Jamal Khashoggi ; جمال خاشقجي) โดยคำสั่งของมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย [5]
ซึ่งท้ายที่สุดแม้จะมีการออกมาประณามต่าง ๆ อย่างมากมายจากหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่าไม่ได้มีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีนัยยะสำคัญเลย และประเทศซาอุดีอาระเบียนั้นก็ยังคงเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่พิเศษและเป็นประเทศพันธมิตรใกล้ชิดมหาอำนาจตะวันตกอยู่ต่อไปได้
แต่หากประเทศที่เป็นผู้ละเมิด ทำร้าย หรือฆาตกรรมนักข่าวหรือผู้สื่อข่าวเป็นประเทศที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับตะวันตก หรือกระทั่งเป็นประเทศปฏิปักษ์คู่ขัดแย้งกัน เช่น จีน, รัสเซีย, หรือ อิหร่าน เราจะเห็นได้ว่าท่าที่ของรัฐบาลหรือองค์กรต่าง ๆ ของตะวันตกนั้นจะมีความแข็งกร้าวและดุดัน และหลายครั้งก็เป็นเหตุผลที่จะนำไปสู่ปฏิกิริยาที่รุนแรงต่าง ๆ ได้
ดังนั้นการพูดถึงหลักการสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ จากตะวันตกนั้นจึงมีความชัดเจนว่ามีความสองมาตรฐาน เป็นวาทะกรรมและเครื่องมือทางการเมือง และเป็นการเลือกปฏิบัติ อยู่บนหลักการของการเป็น “คนของใคร”
เพราะเมื่อถ้าเป็นคนของตะวันตก ก็จะมีการออกมาแสดงท่าทีให้เป็นพิธีการตามความเหมาะสม แต่ถ้าหากเป็นประเทศคู่ขัดแย้งก็จะสามารถถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่ที่กลายมาเป็นสาเหตุของการตอบโต้ที่รุนแรง
อ้างอิง :
[1] Ahead of Friday funeral of Al Jazeera journalist, cops summon her brother to station
[2] US envoy in Israel urges ‘thorough’ probe into Abu Akleh killing
[3] United States Criticizes Israel Over West Bank Settlement Plan
[4] President Obama Has Been Against Israel Settlements Since Taking Office
[5] U.S. says Saudi crown prince approved Khashoggi killing, imposes visa restrictions on 76 Saudis
รู้จัก “โปรไบโอติก” ให้ถึงแก่น หรือ ทาน “โปรไบโอติก” อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พีต้า แบนกะทิชาวเกาะไทย ด้วยข้อกล่าวหา ทารุณกรรมลิง สะท้อนอคติเหยียดหยามชาวตะวันออกที่ฝังรากลึกมานาน
“โปลิตบูโร” เสาหลักของพรรคการเมืองในระบอบคอมมิวนิสต์ ที่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ในฝันของใครบางคน
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม