
ส่งเสริมควายไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ‘เศรษฐา’ ชี้ควายไทยมีอัตลักษณ์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ดีกว่าการปลูกข้าว 3 เท่า
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2567 ณ หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พันตำรวจเอก เอนก เตาสุภาพ อุปนายกสมาคมพัฒนาพันธุ์ควายไทย และกรรมการสมาคมอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ควายไทย พร้อมสมาชิกสมาคมพัฒนาพันธุ์ควายไทย เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เพื่อให้รัฐบาลช่วยส่งเสริมควายไทยเป็น Soft Power พร้อมทั้งนำเสนอ “โก้ เมืองเพชร” ควายเผือกพ่อพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยนายเจ วนาสุวรรณ เจ้าของวนาสุวรรณฟาร์ม และนายดำรงศักดิ์ มรกฏ เจ้าของเก้ามรกฏฟาร์ม ร่วมเข้าพบด้วย โดยมีประเด็นที่ขอให้รัฐบาลสนับสนุนดังนี้
1 ขอให้รัฐบาลช่วยส่งเสริมให้ควายไทยเป็น Soft Power ที่จะสามารถยกระดับอุตสาหกรรมควายยักษ์ควายสวยงามได้อย่างอุตสาหกรรมปลาคาร์ฟของประเทศญี่ปุ่นสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวซึ่ง ททท. จะสามารถต่อยอดได้
2 ผลักดันพ่อพันธุ์ควายไทยไป Roadshow ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งควายตัวผู้จะเป็นสัตว์มีมูลค่าสูงขึ้นทันที สามารถต่อยอดการเกษตรสร้างรายได้ให้เกษตรกรจากผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับควาย
ด้านนายเศรษฐา ได้โพสต์โซเชียลมีเดียกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเราสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมควายไทยโตได้มากกว่านี้ โดยมีข้อความว่า
เราสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมควายไทยโตได้กว่านี้ครับ
วันนี้สมาชิกสมาคมพัฒนาพันธุ์ควายไทย พาน้อง “โก้ เมืองเพชร” ที่มีค่าตัว 18 ล้านบาทมาพบที่ทำเนียบ สวยมาก ๆ เป็นมิตรกับคนด้วย เป็นของดีอีกอย่างของเมืองไทยครับ
สมาคมฯ ได้ขอให้รัฐบาลช่วยส่งเสริมให้ควายไทยเป็น Soft Power เพราะควายยักษ์ สวยงาม มีอัตลักษณ์เฉพาะของควายไทย หากเอาควายยักษ์ตัวผู้ไป Roadshow ขายที่มีตลาด จีน เวียดนาม จะมีมูลค่าสูงขึ้นทันที ไม่ใช่เป็นแค่ควายเนื้อราคาถูก
หากส่งเสริมให้เลี้ยงเป็นกิจลักษณะ สามารถต่อยอดให้พี่น้องเกษตรกรสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับควายได้อีกมาก เช่น นมควาย รกควาย เสื้อฟาร์มควาย (ที่กำลังมาแทนที่เสื้อทีมฟุตบอล) กางเกงควาย การปลูกหญ้า
รวม ๆ แล้วสร้างรายได้ให้เกษตรกรดีกว่าการปลูกข้าวถึง 3 เท่า และมูลควายยังสามารถเก็บมาทำปุ๋ยอินทรีย์ขายได้ราคาและเป็นการลดมลพิษจากปุ๋ยเคมีด้วย