
เศรษฐาฟ้องหมิ่นประมาทชูวิทย์ ทนายถาม จงใจให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ ? ชี้ วิธีการเสียภาษี เป็นเรื่องของการวางแผนภาษี ย้อนไปตรวจสอบบริษัทของลูกตัวเองดีกว่า
วันนี้ (7 ส.ค. 66) นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) เดินทางมาที่ศาลอาญา ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และขอให้ลบข้อความวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงข้อมูล จากกรณีที่นายชูวิทย์เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะกล่าวหาว่านายเศรษฐา และบริษัท แสนสิริ มีการซื้อขายที่ดินกับเอกชนและมีพฤติการณ์การหลีกเลี่ยงภาษี
นายวิญญัติกล่าวว่าผมขอให้กำลังใจนายชูวิทย์ที่กำลังเผชิญหน้ากับโรคร้าย แต่ขอให้อย่าลืมว่าการกระทำใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคนป่วยหรือเป็นคนที่ปกติ หากการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินการ ซึ่งนายเศรษฐาในฐานะผู้ที่ได้รับความเสียหายต้องมาฟ้องร้อง เป็นการทำไปเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง จากการกล่าวหาที่มีความชัดเจนของนายชูวิทย์ว่ามีลักษณะใส่ความว่าเศรษฐาสมคบคิดกับผู้ขายเพื่อหลบเลี่ยงภาษี ทำให้รัฐเสียรายได้ไป 500 กว่าล้านบาท ส่วนนี้จึงเป็นมูลเหตุในการฟ้องชูวิทย์
ถึงแม้ว่านายชูวิทย์อาจจะอ้างว่าการแถลงข่าวขณะนั้นเป็นการใช้สิทธิประชาชนตรวจสอบเศรษฐาตามรัฐธรรมนูญ แต่ผมอยากบอกว่าการใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ผมจะสื่อสารว่านายชูวิทย์กล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน และเป็นข้อเท็จจริงที่จงใจปกปิดหรือจงใจทำให้คนเข้าใจผิดหรือไม่ นี่คือข้อกล่าวหาที่ผม ในฐานะตัวแทนนายเศรษฐามายื่นฟ้อง เนื่องจากเห็นว่านายชูวิทย์มีเจตนาใส่ความให้เกิดความเสียหายชัดเจน
สิ่งที่นายชูวิทย์ได้แถลงก่อนหน้านี้นั้นทีมพร้อมจะไปพิสูจน์ในศาล หรือให้เวลาชูวิทย์แก้ตัวได้ ซึ่งวิธีการเสียภาษีนั้นคนที่มีหน้าที่เสียภาษีที่ดินคือผู้ขายที่ดิน เพราะมีการตกลงกันตามเอกเทศสัญญา ทั้งนี้ คนซื้อคนขายจะตกลงกันอย่างไรก็ได้ คนขายตัดสินใจทำวิธีนี้และแจ้งคนซื้อซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าได้ดำเนินการ โดยทั้งหมดเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา
การเสียภาษี นายชูวิทย์เองก็ระบุถึงเส้นบางๆ ระหว่างจริยธรรม เรื่องการวางแผนภาษีกับการเลี่ยงภาษีที่ไม่เหมือนกัน ผมขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นการวางแผนภาษี ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดกระทำการผิดกฎหมายเพื่อทำให้รัฐเสียประโยชน์
ในเรื่องนี้มีการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วย เนื่องจากเข้าข่ายลักษณะการละเมิดขายข่าวให้แพร่หลาย ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง โดยมีการเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ยื่นฟ้องแล้ว นัดไต่สวนวันที่ 9 ตุลาคมนี้ วันนั้นจะมีพยานบุคคล 7-8 ปาก และพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล
นอกจากนี้นายวิญญัติได้กล่าวด้วยว่ามีบริษัทหนึ่งที่มีลูกของชูวิทย์เป็นคณะกรรมการ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้น ชื่อบริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ตนขอให้ชูวิทย์ระวังการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีเพราะมีคนจับตาดูอยู่ บริษัทนี้ทำอะไรอย่างไร กำลังมีผู้จับตา
สำหรับการกระทำของนายเศรษฐา ไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการซื้อขายที่ดินใดๆ ถึงแม้ว่าในเวลานั้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท แต่ผู้บริหารทำหน้าที่เพียงพิจารณาหลักการนั้น มิได้เป็นผู้ดำเนินการทำนิติกรรมด้วยตนเอง