
เปิดรายงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ITV พบ ITV มีความพยายามคืนชีพตนเองในฐานะสื่อ ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการมาตั้งแต่ 2559 บริษัทเชื่อว่า สามารถกทำได้หากคดีความสิ้นสุดลง
รายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) หรือ ITV วาระที่ 8.3 หน้า 18 “รายงานผลการพิจารณาเพื่อการลงทุนและหาทางเลือกในการดําเนินกิจการของบริษัทต่อไป” มีเนื้อความบางส่วนระบุว่า
“หลังจากที่บริษัทได้รับคําชี้ขาดจากคณะอนุญาโตตุลาการในต้นปี 2559 และได้ศึกษาข้อกฎหมายจนได้ความชัดเจนว่า แม้ สปน. จะยื่นคําร้องขอเพิกถอนคําชี้ขาดต่อศาลปกครองกลาง แต่ในปัจจุบัน โดยผลของกฎหมาย ถือว่าบริษัทไม่มีภาระหนี้ที่จะต้องชําระให้แก่ สปน. บริษัทก็พยายามทําเนินการในเรื่องแสวงหาโอกาสในการลงทุนเพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด”
“โดยในช่วงปี 2559 บริษัทได้ดําเนินการศึกษาและวิเคราะห์โครงสร้างการลงทุน และได้รับข้อเสนอจากบริษัทหนึ่ง ซึ่งประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิตอล”
“ประมาณเดือนมีนาคมและเมษายน 2560 บริษัทได้ทําการศึกษาความเป็นไปได้ของแนว ทางการลงทุน 3 แนวทาง ดังนี้
– แนวทางที่หนึ่ง เป็นการลงทุนโดยตรงในฐานะผู้ประกอบกิจการ คือบริษัทอาจมองหา ธุรกิจและลงทุนเปิดคําเนินการด้วยตนเอง
– แนวทางที่สอง เป็นการลงทุนทางอ้อมในฐานะนักลงทุน ผ่านกองทุนส่วนบุคคล หรือ Private Fund ซึ่งแนวทางนี้ เป็นการลงทุนที่บริษัทเลือกใช้ดําเนินการอยู่ใน ปัจจุบัน
– แนวทางที่สาม เป็นการมองหาบริษัทเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบกิจการในกลุ่มธุรกิจ Telecom Media และ Technology ซึ่งเปิดดําเนินกิจการอยู่แล้ว และเข้าหาโอกาสเข้าไปร่วมลงทุนในการศึกษาถึงแนวทางการลงทุนดังกล่าว”
“คณะกรรมการบริษัทจึงมีความเห็นว่า บริษัทควรพิจารณาดําเนินการศึกษาเพื่อการลงทุนในแนวทางที่สาม คือ การมองหาบริษัทเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบกิจการในกลุ่มธุรกิจ Telecom Media และ Technology ซึ่งเปิดดําเนินกิจการอยู่แล้ว และเข้าหาโอกาสเข้าไปร่วมลงทุน ภายใต้กรอบการ ลงทุนที่บริษัทเคยกําหนดไว้
ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 คณะกรรมการบริษัทได้ดําเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาการ ลงทุนเพื่อมาช่วยในการแสวงหาและคัดเลือกบริษัทเป้าหมายให้แก่บริษัท โดยมุ่งเน้นในการสรรหาบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่มีชื่อเสียงและมีผลงานความสําเร็จในการทํางานให้กับ องค์กรขนาดใหญ่”
“หากบริษัทจะมุ่งแสวงหาบริษัทเป้าหมายใหม่ที่ไม่มีข้อกังวลเกี่ยวกับสถานะของบริษัท และไม่ได้ต้องการความร่วมมือทางธุรกิจ โดยต้องการเพียงเงินลงทุนอย่างเดียว ก็จะทําให้บริษัทมีความเสี่ยงในเรื่องการควบคุมการบริหารงานของบริษัทเป้าหมาย และหากบริษัทตัดสินใจเสี่ยงเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มองไม่เห็นถึงศักยภาพของการทําธุรกิจ อาจทําให้เงินลงทุนของบริษัทมีความเสี่ยงที่จะด้อยค่าลง รวมถึงไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนที่ต้องการรักษาเงินทุนของบริษัทไว้ให้มากที่สุด”
“ด้วยเหตุนี้ทางคณะกรรมการบริษัทจึงมีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการบริหารเงินสดของบริษัทในรูปแบบกองทุนส่วนบุคคลต่อไปตามเดิมไปก่อน จนกว่าปัจจัยข้อจํากัดต่างๆ ของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไป”
“บริษัทเชื่อว่าหากคดีความของบริษัทสิ้นสุดลง ก็อาจทําให้บริษัทกลับมาได้รับความสนใจจากบริษัทเป้าหมายในการที่จะเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทได้ และถึงแม้ว่าบริษัทจะยังไม่สามารถค้นหาธุรกิจที่ดีและที่มีความสนใจจะเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทในขณะนี้ได้”