Here We Go (4)

การระบาดของเจ้าโอมิครอนยังทรงตัวระดับสองหมื่นคนเศษต่อวัน ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก ฟังมาว่าใน 3 ถึง 4 เดือนข้างหน้าน่าจะมีโอกาสประกาศให้โควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น ตอนนี้รัฐบาลปรับวิธีการตรวจรักษาผู้ป่วยให้มีลักษณะใกล้เคียงกับการเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคธรรมดา คือ ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเหมือนผู้ป่วยนอก ตรวจวินิจฉัย ให้ยา กลับบ้านไปรักษาตัว เว้นอาการหนักก็จะแอดมิทเป็นผู้ป่วยใน แต่รัฐบาลยังให้สิทธิการดูแลรักษาเหมือนเดิม

จะเห็นได้ว่าคนไทยเราเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตปัจจุบัน เข้าใจความเป็นไปของโรค ความตื่นตระหนกตกใจไม่ค่อยมีให้เห็น คนที่เคยกลัวอยากให้ปิดประเทศ ปิดกิจการที่ทำให้ผู้คนไปอยู่รวมกันมากๆ อยากให้ทำงานที่บ้าน ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด สารพัดห้าม ความกลัวหายไปเยอะแล้ว เป็นไงเป็นกันเริ่มได้ยินกว้างขวางขึ้น การสร้างสมดุลระหว่างการแพทย์กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี ความขัดแย้งเรื่องนี้มีน้อยลงมาก เมื่อไม่กี่วันมานี่ได้ยินคณะทูตต่างประเทศในบ้านเราพูดว่าไม่มีคำถามกับระบบการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยอีกแล้ว ทั้งยังชื่นชม เวลาพูดถึงเรื่องที่จะช่วยเหลือไทย จะพูดเรื่องวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ ไม่พูดเรื่องระบบแล้ว เช่นนี้ต้องชื่นชมให้กำลังใจทุกฝ่ายที่พิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ยอมรับ คนไทยเราสบายใจได้เรื่องการรับมือโควิด มุ่งหน้าช่วยกันทำทุกทางเพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้ได้

สงครามรัสเซียกับยูเครนน่าสนใจเหมือนเดิม มาถึงวันนี้ 3 สัปดาห์แล้วที่รัสเซียบุกเข้าไปโจมตียึดครองในหลายพื้นที่ สังคมบ้านเราติดตามอย่างใกล้ชิด ให้น่าแปลกใจว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลในโลกออนไลน์รวมทั้งความเห็นของคนที่ชอบอ้างตัวเองว่าเป็นกูรูวิจารณ์เรื่องจุดยืนของรัฐบาลไทยว่าเดินตามก้นสหรัฐ ประณามรัสเซีย เชียร์ยุโรป กำลังชักศึกเข้าบ้าน แล้วก็เลยไปถึงเรื่องวิจารณ์การมีความสัมพันธ์กับสหรัฐผ่านความตกลงต่างๆ เช่น อินโดแปซิฟิก เพื่อร่วมมือกับสหรัฐและยุโรปปิดล้อมจีน โดยไม่รู้บุญคุณของจีนที่เคยช่วยเรามาในอดีต จับแพะชนแกะจนสังคมสับสน ทั้งที่ความเป็นจริงความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐ ไทยกับยุโรป ไทยกับจีน มีความเป็นมายาวนานพอ ๆ กัน

โปรตุเกสเป็นชาติแรกที่มีสถานเอกอัครราชทูตในไทย ฝรั่งเศสตามมาเป็นชาติที่สอง ไปเยี่ยมบ้านของท่านทูตทั้งสองกันได้ที่ริมน้ำเจ้าพระยา ทั้งสองประเทศไม่ยอมขายเพื่อหาที่อยู่ใหม่ใหญ่และทันสมัยกว่า แต่เลือกที่จะอยู่กับประวัติศาสตร์ ให้ความสำคัญกับความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ส่วนรัสเซีย ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาและสร้างความรัก ความเข้าใจ ความผูกพันกับราชวงศ์โรมานอฟจนประเทศยุโรปอื่นต้องระวังและเกรงใจรัสเซีย ไม่กล้ากระทำการใดที่ทำลายไทย ในขณะที่กับจีน ราชวงศ์จักรีสถาปนาความสัมพันธ์กับรัฐคอมมิวนิสต์ที่เมื่อก่อนเรากลัวว่าจะมาล้มล้างระบอบการปกครอง ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ใครจะเชื่อว่าสมเด็จพระกณิษฐาธิราชเจ้าฯ จะทรงเขียนและพูดภาษาจีนได้อย่างชำนาญ

ตกถึงปัจจุบันไทยอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางอำนาจระหว่างชาติอภิมหาอำนาจ สหรัฐ ยุโรป รัสเซีย และจีน ซึ่งเรามีความสัมพันธ์กับทุกประเทศอย่างแนบแน่นยาวนาน จะเลือกยืนกับใครฝ่ายเดียวหรือสองฝ่าย ใครๆ ก็รู้ว่า ทำไม่ได้ จะเหยียบเรือสองแคมก็ไม่ใช่วิสัย ต้องเป็นเพื่อนกับทุกฝ่าย ยามเพื่อนทะเลาะกันก็ต้องหาทางให้เลิกทะเลาะ เมื่อไม่เลิกทะเลาะ ก็ต้องเลือกที่จะยืนอยู่กับกรรมการซึ่งก็คือสหประชาชาติ รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศก็ชอบแล้วที่เดินแบบนี้ ส่วนความสัมพันธ์สองฝ่ายก็ดำเนินต่อไป อะไรคือผลประโยชน์ของเราก็ต้องชั่งน้ำหนัก แล้วไปในทางนั้น รัสเซียก็เข้าใจ ประชาคมโลกก็ชื่นชม จีนก็ไม่โกรธเคือง เราเปิดประเทศตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้กรุงรัตนโกสินทร์ เราเดินงานด้านการต่างประเทศได้อย่างแยบยล เอกราชของชาติไทยคือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้

การเมืองในบ้านเราสนุกไม่แพ้ยุโรป แม้สภาจะปิดสมัยประชุม เรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจไม่ดังเปรี้ยง แต่มีผลต่อการเมืองในอนาคต “Rajpruek Solution” เมื่อค่ำวันที่ 8 มีนาคม 2565 ผู้กองถูกโดดเดี่ยว พรรคเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่อยู่กับลุงป้อม มีบิ๊กน้อยคอยดูแล พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดได้คุยกันอย่างชัดเจน สบายใจกับความผูกพันของ 3 ป. ที่ไม่สั่นคลอน ไม่มีเด็กรุ่นหลังมาทำให้เป็นอย่างอื่น แถมเด็กรุ่นหลังเสียอีกที่ถูกลอยแพ

ไม่นานจากนี้คงเห็นหมากการเมืองของลุงตู่ที่เดินได้อย่างชาญฉลาดในกระดานนี้ ไม่ต้องล้มกระดานหากระดานใหม่มาเล่น กลเกมเมื่อคืนวันที่ 8 สร้างความกังวลจนผู้กองต้องแก้เกม สามวันให้หลังต้องนัดทานข้าวกับพรรคเล็กที่ Golden Tulip บอกว่าไม่ได้แจกกล้วย แต่ผู้กองไม่มีอย่างอื่นจะแจกได้นอกจากกล้วย ต่างจากลุงป้อมมีหลายอย่างที่ไม่ใช่กล้วยสามารถช่วยเหลือดูแลกันได้

ถ้าไม่เชื่อรอดูวันที่ 17 มีนาคมนี้ ลุงตู่และอีกสองลุงจะทานข้าวกับพรรคเล็ก ๆ “Solution” ใหม่ ย่อมมีให้เห็นเพื่อเสริมความเข้มแข็งของรัฐบาล

การเมืองยุคปิดสมัยประชุมทำให้ทักษิณร้อนรนด้วยเช่นกัน ปัญหา 3 ป.ไม่แตกกัน ผู้กองไม่เข้มแข็งอย่างที่คุย ทำให้ทักษิณต้องบินมาสิงคโปร์ ดูชื่อ ส.ส.ที่ไปพบ ไม่ใช่เรื่อง 3 ป.กับผู้กองเท่านั้น แต่มีเรื่องการถูกรุกในอีสานอย่างหนักหน่วงจากพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงหน่อย ที่ข่าวกรองของทักษิณบอกว่าอยู่คนละขั้วกับเพื่อไทยแน่นอน และจะช่วงชิงที่นั่งในสภาของเพื่อไทยในทุกภาคอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะแค้นครั้งที่ไล่คุณหญิงออกจากเพื่อไทย ยังฝังใจไม่ลืม มิอาจให้อภัยทักษิณได้ กลเกมและหมากบนกระดานหมากรุกการเมืองเดินกันไม่ดังแต่ทรงพลัง มิอาจกระพริบตา

ทำไมไม่พูดเรื่องน้องแตงโม คำตอบคือไม่ค่อยอยากพูดถึงเพราะเคารพและให้เกียรติน้องและครอบครัว คนอยากมีแสงเพราะน้องมีมากเหลือเกิน จนขาดวุฒิภาวะในการให้ข้อมูลและความเห็น เรื่องเล่า เรื่องแต่งเติม

ความอยากมีแสง ข้ามเส้นพรมแดนของความดีงามทางศีลธรรมไปมากแล้ว ไม่คิดจะแนะนำให้ทำอย่างไรกัน นอกจากต้องช่วยกันนำจิตสำนึกด้านดีมาใช้กับน้องแตงโม

อยากแตะไว้ให้คิดอีกประเด็นคือ บทเรียนจากเรื่องนี้ให้อะไรกับสังคมไทย น่าคิดมากว่า ความเชื่อมั่นในการอำนวยความยุติธรรมของตำรวจลดน้อยถอยลงหรือเปล่า ตำรวจจะหวนคิดถึงผลกระทบด้านนี้ไม๊ หรือเอาแต่โกรธคนในโลกโซเชียลที่กระหน่ำเล่นงานตำรวจเสียเป็นส่วนใหญ่

สังคมเคยหวังจะเห็นการปฏิรูปตำรวจ แต่ตำรวจเองมุ่งหวังแต่จะรักษาองค์กรไม่ให้ใครมาเปลี่ยนแปลง ทั้งที่ควรจะเข้าใจว่า การรักษาองค์กรตำรวจให้เข้มแข็งได้อย่างยั่งยืนคือการปฏิรูปตำรวจเท่านั้น แต่พูดไปตำรวจก็คงไม่เชื่อ ตำรวจคงต้องเลือกด้วยตนเอง จะเดินทางไหน เพื่อที่ผู้คนในสังคมจะพูดถึงตำรวจด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา หวังว่าจะได้เห็นเช่นนี้สักวัน

โดย : แกงส้ม