ออกแรงประท้วงกันมาแทบตายแต่สุดท้ายยังล้มเหลวอยู่ดี อะไรคือสาเหตุที่การประท้วงล้มเหลวในระบอบประชาธิปไตย
คำว่า “ประชาธิปไตย” นั้นมักจะแปลกันว่า ‘การปกครองโดยประชาชน’ หรือ ‘การปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่’ [1] แม้การนิยามความหมายของคำ ๆ นี้นั้นจะมีหลากหลาย แต่เรียกได้ว่าความหมายที่เป็นแก่นนั้นจะมีการอธิบายในทำนองเดียวกันแทบทั้งหมด
ดังนั้นทุก ๆ ครั้งที่มีการกล่าวถึงคำว่า “ประชาธิปไตย” เช่น การกล่าวว่า ‘ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย’ หรือ ‘ประเทศนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย’ ภาพที่เห็นจึงเป็นการสะท้อนว่าประชาชนของประเทศนั้น ๆ หรือในระบอบการปกครองของประเทศนั้น ๆ ประชาชนมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจ ประชาชนมีปากมีเสียงต่อการเมืองหรือไม่อย่างไร
กล่าวคือ ใน “ประเทศประชาธิปไตย” ประชาชนนั้นมีอำนาจ มีปากมีเสียง หรือความคิดเห็นของประชาชนนั้นมีความสำคัญ หรือมีความเป็นใหญ่สูงสุด (คำว่า “ประชาธิปไตย” มาจากคำว่า “ประชา” แปลว่า ‘ประชาชน’ และ “อธิปไตย” แปลว่า ‘ความเป็นใหญ่’)
อย่างไรก็ตาม นั่นคือความเข้าใจตามความหมาย ตามหลักการ หรือตามอุดมคติที่เราตั้งไว้ว่า ‘มันควรจะเป็นเช่นนั้น’ แต่เมื่อเราพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงแล้ว เราอาจจะได้ข้อสรุปที่ตรงกันข้าม ว่าประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้นไม่ได้มีอำนาจจริง ๆ ตามหลักการที่เราเข้าใจและตั้งความหวังเอาไว้
ข้อสรุปนี้นั้นยังสามารถอธิบายได้ด้วยว่าทำไมการประท้วง การชุมนุม หรือการดำเนินกิจกรรมการเมืองนอกระบบหรือนอกสภาในประเทศประชาธิปไตยนั้น กลับไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใด ๆ มากนัก
ย้อนกลับไปที่ประเทศอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์ล่าสุดสามารถเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพได้ถึงพลวัตของระบอบการเมืองการปกครองและอำนาจของประชาชน จากเหตุการณ์การเผยแพร่วินิจฉัยของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯ (SCOTUS ; Supreme Court of the United States) เกี่ยวกับประเด็นทางกฎหมายรัฐธรรมนูญหลายประเด็น ตั้งแต่สิทธิการถือปืนและพกอาวุธในที่สาธารณะ, สิทธิการทำแท้ง, สิทธิและสวัสดิภาพของชาวเพศทางเลือก ซึ่งส่งผลให้ประชาชนอเมริกันออกมาชุมนุมประท้วงอย่างมาก [2][3]
อย่างไรก็ตามเราจะเห็นได้ว่าการชุมนุมประท้วง หรือการขับเคลื่อนการเมืองด้วยประชาชน (mass mobilization) นั้นกลับไม่ได้กระทบกระเทือนหรือเป็นแรงกดดันที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้เลย
ในความเป็นจริงการนำประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องในประเด็นเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาวุธปืนหลัง หรือเรื่องสิทธิการทำแท้ง ในอดีตก็มีการเรียกร้องขึ้นมาตลอด ๆ เป็นระยะ ๆ
ไม่เพียงเท่านั้น อย่างการชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปกฎหมายครอบครองอาวุธปืนนั้น ก็เคยมีการประท้วงที่มีผู้ประท้วงถึงเกือบ 2 ล้านคนทั่วทั้ง 387 เขตเลือกตั้ง (คิดเป็นร้อยละ 90 ของเขตเลือกตั้งทั้งหมดของประเทศอเมริกา) [4] ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์กราดยิงที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ณ เมืองพาร์คแลนด์ รัฐฟลอริดา ในปีค.ศ. 2018 ซึ่งนักเรียนมัธยมผู้รอดชีวิตจากโรงเรียนแห่งนั้นได้ออกมาเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนเรียกร้องให้ฝ่ายการเมืองเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้รัดกุมมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ได้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีก
เรื่องราวของนักเรียนกลุ่มนี้ได้นำไปสู่การชุมนุมประท้วงที่มีชื่อเรียกกว่า “การเดินขบวนเพื่อชีวิตของเรา” หรือ March for Our Lives ซึ่งเป็นการชุมนุมประท้วงที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดทั่วประเทศอเมริกา
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2018 นั้น เราก็ยังเห็นข่าวคราวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมการกราดยิงต่าง ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
การประท้วงขนาดใหญ่ในอเมริกาอื่น ๆ เช่น ขบวนการเคลื่อนไหว “ยึดวอลล์สตรีท” หรือ Occupy Wall Street ในช่วงปีค.ศ. 2011 นั้นก็สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าการชุมนุมประท้วงเรียกร้องของประชาชนในประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยนั้น
ดูเหมือนจะไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย และสิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเดียวเท่านั้น การชุมนุมประท้วงใน “ประเทศประชาธิปไตย” อื่น ๆ นั้นเองก็สามารถกล่าวได้ว่ามี ‘ชาตะกรรม’ ที่คล้าย ๆ กัน
หากเรายังจำได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018-2020 ในประเทศฝรั่งเศสได้มีการชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อยาวนานและรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งผู้ชุมนุมนั้นใส่เสื้อกั๊กสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์จนกลายมาเป็นชื่อของการชุมนุม (Yellow Vests Protests หรือ Yellow Jackets Protests หรือในภาษาฝรั่งเศสคือ Mouvement des gilets jaunes) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเรียกร้องประเด็นทางเศรษฐกิจสังคมต่าง ๆ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ, ลดภาษีน้ำมัน, พัฒนาคุณภาพชีวิต ฯลฯ รวมทั้งเรียกร้องความโปร่งใสไปจนถึงให้รัฐบาลฝรั่งเศสลาออก [5]
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลฝรั่งเศสจะมีการให้คำมั่นสัญญา หรือเจรจาข้อตกลงเพื่อลดความรุนแรงของการชุมนุมไปบ้าง
ในบทความวิเคราะห์ในหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์ (The Washington Post) นักวิเคราะห์ด้านการเมืองนั้น “กล่าวว่าขบวนการเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียง[การขับเคลื่อน]เชิงสัญลักษณ์เป็นหลักเท่านั้น และมีผลกระทบน้อยมากต่อสนามเลือกตั้ง” รัฐบาลชุดปัจจุบันของฝรั่งเศสนำโดยแอมานุแอล มาครง (Emmanuel Macron) นั้นก็จะยังอยู่ในอำนาจต่อไปได้ [6]
กระทั่งชัยชนะทางการเลือกตั้งล่าสุดก็สะท้อนข้อเท็จจริงนี้ว่าการประท้วงของผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองนั้นไม่ได้ทำให้ผู้มีอำนาจและกลุ่มก้อนทางการเมืองเดิมนั้นสั่นคลอนได้แต่อย่างใด
ไม่เพียงแต่ในประเทศตะวันตกเท่านั้น ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง
การประท้วงโดยประชาชนญี่ปุ่นเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เปลี่ยนกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นให้กลับมาเป็นกองทัพเต็มรูปแบบนั้นก็มีขึ้นเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ปีค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) จนถึงปัจจุบัน [6][7]
แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งครองอำนาจโดยพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) พรรคเดียวมาเป็นระยะเวลาเกือบ 60 ปีนั้น ก็มีการดำเนินการเมืองได้อย่างอิสระจากแรงกดดันหรือเสียงของประชาชนอย่างไม่กระทบกระเทือนใดๆ
หรือประเทศไทยเอง แม้จะมีการกล่าวกันว่ายังไม่ได้มี “ประชาธิปไตยเต็มใบ” แต่ในปัจจุบันที่มีการเลือกตั้ง มีการเข้าสู่อำนาจของพรรคการเมืองและนักการเมือง มีการขับเคลื่อนการเมืองในรัฐสภา การประท้วงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยประชาชนนั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบในภาพกว้างใด ๆ ได้มากเลย
ในงานวิจัยชื่อ “ทดสอบทฤษฎีการเมืองของอเมริกา: ชนชั้นนำ, กลุ่มผลประโยชน์, และประชาชนทั่วไป” (“Testing Theories of American Politics: Elites, Interest Groups, and Average Peoples”) จากมหาวิทยาลัยพรินซตัน (Princeton University) และมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern University) ที่นักวิชาการได้พยายามหาคำตอบว่าในระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยตัวแทน (representative democracy) นั้น ประชาชน, กลุ่มผลประโยชน์, หรือชนชั้นนำมีอำนาจมากกว่ากัน
ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการวิจัยภายในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ข้อสรุปที่ได้นั้นก็เป็นข้อมูลที่สะท้อนถึงธรรมชาติของการเมืองระบอบนี้ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยข้อสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้นั้นกล่าวไว้ว่า “การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยหลายอย่าง [ของเรา] นั้นชี้ให้เห็นว่า ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจและกลุ่มองค์กรที่เป็นตัวแทนของผลประโยชน์จากภาคธุรกิจนั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อนโยบายของรัฐบาลสหรัฐ ในขณะที่ประชาชนทั่วไปและกลุ่มผลประโยชน์ที่มาจากมวลชนนั้นมีอิทธิพลน้อยหรือไม่มีเลย” [8]
ดังนั้นเราอาจจะสรุปได้ว่าในระบอบประชาธิปไตย ชะตากรรมหรือบทสรุปของการขับเคลื่อนการเมืองด้วยมวลชนนั้นคือการย่ำอยู่กับที่ หรือกระทั่งกล่าวได้ว่าจะจบลงด้วยความล้มเหลวอยู่ตลอด
ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งในปัจจุบันการพูดคุยและขับเคลื่อนทางการเมืองนั้นก็ดูเหมือนจะขยายเข้าไปสู่โลกออนไลน์ด้วยแล้ว
แม้ในมุมหนึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ประชาชนได้มีส่วนร่วมและแสดงออกมากขึ้น แต่การกดไลค์หรือแสดงความคิดเห็นในโพสต์ต่าง ๆ นั้นกลับไม่ได้เป็นสิ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
อย่างที่มีการตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในบทความของสำนักข่าว ดิ แอตแลนติก (The Atlantic) ในหัวข้อ “ทำไมการประท้วงลงถนนนั้นไม่สำเร็จ” (Why Street Protests Don’t Work) ที่กล่าวไว้ว่า
“เบื้องหลังการชุมนุมลงถนนนั้น น้อยครั้งที่จะมีองค์กรที่มีน้ำมันเครื่องลื่นไหลและมีความถาวร ที่สามารถจะสานต่อการเรียกร้องของผู้ประท้วง และเข้าไปทำงานการเมืองที่ซับซ้อน ที่ต้องพบเจอ[นักการเมือง]ต่อหน้า และ[เป็นงานที่]น่าเบื่อ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในรัฐบาลได้”
โมยเสส นาอิม (Moisés Naím) ผู้เขียนบทความ ซึ่งเป็นนักการเมือง, นักข่าว, นักเขียน, และนักวิชาการ รวมทั้งเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และการค้าของประเทศเวเนซูเอลา ก็ยังกล่าวต่อไปอีกถึงการขับเคลื่อนการเมืองในโลกออนไลน์ ว่า “clicktivism (การทำกิจกรรมการเมืองผ่านการคลิกเมาส์) และ slacktivism (การทำกิจกรรมการเมืองที่ไม่ได้ใช้ความพยายามมาก) นั้นกลับเป็นผลเสียต่อการทำงานการเมืองจริง ๆ ด้วยการสร้างมายาคติที่ทำให้รู้สึกดีต่อการกด “ไลค์”…ว่าเท่ากับการทำกิจกรรมการเมืองที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง”
ดังนั้นในการเมืองระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตยตัวแทน (representative democracy) นั้น การชุมนุมประท้วงหรือขับเคลื่อนมวลชนนั้น จึงเป็นเพียงองค์ประกอบ ‘เล็ก ๆ’ ในการขับเคลื่อนทางการเมืองเท่านั้น
โดย “เวที” หรือ “สนามรบ” หลักนั้นไม่ได้อยู่ในการประท้วงของมวลชน หรือในปลายนิ้วของผู้ใช้โลกออนไลน์ แต่อยู่ใน “ผู้เล่นหลัก” ที่พวกเราต้องทำความเข้าใจว่าคือใคร คือคนกลุ่มไหน และต้องทำความเข้าใจว่าในฐานะประชาชน เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้เล่นเหล่านั้นหันมาทำตามความต้องการของเราได้ เพราะข้อเท็จจริงก็คือในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนไม่ได้มีอำนาจอยู่ในมือโดยแท้จริง
อ้างอิง :
[1] “ประชาธิปไตย” เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
[2] “ประชาธิปไตย” เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
[3] อเมริกันร่วมเดินขบวนสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ – ต้านคว่ำสิทธิ์ทำแท้งเสรี
[4] More Than 2 Million in 90 Percent of Voting Districts Joined March for Our Lives Protests
[6] Japanese protest against Abe on SDF
[7] Japanese anti-war groups protest against Quad meeting amid Biden’s visit
[8] Testing Theories of American Politics: Elites, Interest Groups, and Average Citizens
แนวคิดรัฐนำเศรษฐกิจ ที่ไม่ได้ใหม่ และเคยซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจโลกให้รุนแรงยิ่งขึ้น
คาร์บอนเครดิตไม้บรรทัดอันใหม่ทางธุรกิจ เพื่อโลกที่ดียิ่งกว่าเดิม
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม