ประเทศที่มีบริษัทพลังงานเป็นของตัวเองมีข้อดีอย่างไร และประเทศที่ไม่มีบริษัทพลังงานต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังงานเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศใดที่มีบริษัทพลังงานเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน ถ่านหิน หรือก๊าซธรรมชาติ ย่อมได้เปรียบคนอื่นทั้งในแง่ของความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มเติมจากการขายพลังงานได้อีกด้วย
ในขณะที่ประเทศที่ไม่มีบริษัทพลังงานของตนเอง ย่อมต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างชาติเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ทำให้เมื่อใดที่เกิดความตึงเครียดในสถานการณ์โลกขึ้น ย่อมทำให้ขาดเสถียรภาพความมั่นคงทางพลังงานไปด้วย จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตัวอย่างเช่น ประเทศศรีลังกา ที่ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจขนาดหนัก จนไม่มีเงินตราต่างประเทศไปซื้อพลังงานเข้ามาใช้ในประเทศ ส่งผลให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง เช่น มาตรการตัดกระแสไฟฟ้าทั่วประเทศนาน 10 ชั่วโมงทุกวัน ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ที่ร้ายแรงที่สุด คือ หลายโรงพยาบาลต้องหยุดการผ่าตัดคนไข้
ประเทศเวเนซุเอลา เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ประสบกับวิกฤตทางพลังงานเนื่องจากไม่มีไฟฟ้าใช้ภายในประเทศ ทำให้ประชาชนไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ เกิดความวุ่นวายขึ้นกับระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟใต้ดินหยุดให้บริการ จนผู้คนหลายพันคนต้องกลับบ้านด้วยการเดินเท้าหรือขึ้นรถโดยสาร
ตัวอย่างที่ใกล้ตัวเราที่สุด และเห็นภาพได้ชัดเจนอีกประเทศหนึ่ง คือ ประเทศลาว ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศเป็นหลัก หากราคาน้ำมันนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ราคาขายหน้าปั๊มน้ำมันสูงขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น เมื่อเกิด “สงครามพลังงาน” อันเนื่องมาจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ผนวกกับปัญหาเงินเฟ้อภายในประเทศ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนน้ำมันในประเทศลาวให้รุนแรงขึ้นไปอีก ผู้คนต้องต่อคิวกันยาวเหยียดที่ปั๊มน้ำมัน บางส่วนยอมข้ามมาเติมน้ำมันที่ฝั่งไทย เพราะเกิดภาวะ “มีเงินก็ซื้อไม่ได้” เนื่องจาก “น้ำมันหมดประเทศ”
อย่างไรก็ดี เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นและมาตรฐานความเป็นอยู่ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานมีมากขึ้นตามลำดับ ประกอบกับแหล่งพลังงานที่มีอยู่ภายในประเทศเริ่มร่อยหรอลง ทำให้การหาแหล่งพลังงานทดแทนเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งประเด็นเรื่องสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจนน่าวิตก ทำให้การเสาะหาพลังงานสะอาดจากแหล่งที่มีคาร์บอนต่ำเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม
ประเทศไทยเอง เริ่มมีกลุ่มธุรกิจพลังงานเข้ามาลงทุนในพลังงานสะอาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บางจาก, เชลล์, และ ปตท.
ยกตัวอย่างเช่น ปตท. มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการลงทุนพลังงานทดแทนให้ได้ 12,000 เมกะวัตต์ ทั้งในด้านพลังงานอนาคต (future energy) เช่น การมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และพลังงานไฟฟ้า ได้แก่ ธุรกิจแบตเตอรี่และการกักเก็บพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่ “go green” และ “go electric” มากขึ้น
ในฟากของภาครัฐ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ การสนับสนุนและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยิ่งทำให้เป้าหมายในการเดินไปสู่การใช้พลังงานสะอาดภายในประเทศเริ่มมีความชัดเจนขึ้น ประชาชนมีความมั่นใจในการใช้รถ EV มากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีสถานีแท่นชาร์จ EV เมื่อต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ที่ยังไม่มีความพร้อมในการพัฒนาทางด้านพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา หรือลาว
ดังนั้นความพร้อมในการลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อเตรียมนำมาใช้ทดแทนพลังงานหลักที่เริ่มหมดไป ย่อมส่งผลดีต่อความมั่นคงของประเทศ ทั้งในแง่ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางพลังงาน ที่จะส่งผลต่อความกินดีอยู่ดีของประชากร และความยั่งยืนของประเทศ
ผู้เขียน: ศิวายะ
คนที่เข้าใจ “รัสเซีย” และไม่ชอบพฤติกรรม “ตำรวจโลก” คือคนที่มีความคิดแบบ “Realism”
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม