
ศีลข้อ 3 กับความหมายที่กว้างกว่าแค่ เรื่องเพศสัมพันธ์
ถือเป็นข่าวดราม่าประเด็นร้อนในโลกโซเชียลส่งท้ายปี เมื่อมีการเปิดเผยถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างนักร้องหญิงท่านหนึ่ง กับผู้ชายซึ่งเป็นแฟนของเพื่อนของเธอ ทำให้เกิดข้อวิจารณ์มากมายหลายประเด็น รวมทั้งมีการนำคำพูดของเธอ ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแฟนหลายครั้งของเธอ โดยเธอระบุว่า ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร
ชาวโซเชียลจำนวนหนึ่ง ระบุว่าอย่างไรเธอก็ทำผิด ศีลข้อ 3 ใน ‘ศีล 5’ กล่าวว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นการกระทำที่ผิดศีล บางรายระบุถึงขั้นว่า การไม่รักนวลสงวนตัว เป็นการกระทำที่ผิดศีลข้อ 3 ผิดศีลธรรม ทำให้ชาวโซเชียลอีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่เห็นด้วย ตั้งคำถามว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องผิดอย่างไร ?
แน่นอนว่า การมีเพศสัมพันธ์ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ คนทุกคนล้วนแต่ถือกำเนิดขึ้นได้จากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ของตน นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์สะท้อนถึงอัตราการเกิด สะท้อนถึงกำลังคน และจำนวนทรัพยากรมนุษย์ของชาติในอนาคต
ในปัจจุบันโลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสังคมผู้สูงอายุ (Population Ageing) เนื่องจากอัตราการเกิดและการเสียชีวิต ไม่มีความสมดุลกัน อีกทั้งการมีจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้น หมายถึงภาระเชิงงบประมาณของประเทศที่จะสูงขึ้นเพื่อการให้การดูแลผู้สูงอายุเหล่านี้ ในขณะที่จำนวนประชากรคนรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาเป็นกำลังการผลิตให้กับประเทศ สร้างภาษีเข้าสู่รัฐกลับน้อยลง
นักวิชาการบางส่วนในหลายประเทศ จึงสนับสนุนให้รัฐออกมาตรการส่งเสริมให้ประชากรคนรุ่นใหม่ แต่งงานและมีบุตรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะผ่านมาตรการการให้เงินสนับสนุนคู่สมรสใหม่ หรือมาตรการลดอายุที่อนุญาตให้ประชากรสามารถสมรสได้อย่างถูกกฎหมายลง
และเมื่อเรามองย้อนกลับไปมองในหลายวัฒนธรรมของกลุ่มชนเผ่าที่อยู่ในสภาวะแร้นแค้น เราจะเห็นว่าวัฒนธรรมของกลุ่มคนเหล่านี้มีความเสรีทางเพศอย่างมาก ยินยอมให้เด็กสาวในเผ่าสามารถมุดกระโจมของนักเดินทางผู้มาเยือน และมีเพศสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืนได้ ซึ่งทั้งหมดนี้มีเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือการเพิ่มจำนวนประชากร เพิ่มกำลังคน เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของชนเผ่านั่นเอง
สำหรับวัฒนธรรมอินเดียในยุคพุทธกาลเองก็ดูจะมีความเปิดกว้างทางเพศไม่น้อยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นในพระวินัยปิฎก ในมุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๖ กล่าวถึงหญิงนางหนึ่งพยายามยั่วยวนพระภิกษุสงฆ์ ถึงขั้นเปลื้องผ้าเปลือยกาย เพื่อเชิญชวนให้ภิกษุรูปนั้นมาเป็นสามีของตน แต่ภิกษุไม่รับ เทศนาสั่งสอนจนนางสำนึกตัว กราบขอโทษภิกษุ แสดงความเลื่อมใสในพระศาสนาแทน [1]
อย่างไรก็ดี เมื่อความทราบถึงชนหมู่มาก พุทธบริษัททั้ง 4 กล่าวโทษภิกษุที่ไม่ระวังตน เปิดโอกาสให้สตรียั่วยวนตนเอง จนเป็นที่มาของการมีพุทธบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุอยู่ร่วมกับคนเพศหญิงในเวลาต่อมา [1]
นอกจากนี้ ในกายสังสัคคสิกขาบท ปรากฏพุทธวินิจฉัยเรื่องที่สตรีกลุ่มหนึ่ง รวมตัวกันโอบภิกษุอีกด้วย แต่ภิกษุดังกล่าวมิได้มีความหวั่นไหว หรือยินดีในการสัมผัส พระพุทธองค์จึงทรงวินิจฉัยว่าภิกษุรูปนั้นมิได้ต้องอาบัติ [2]
และถ้าพิจารณาถึงประวัติของอุบาสก อุบาสิกาคนสำคัญในยุคพุทธกาล เราจะเห็นได้ว่านางวิสาขา ซึ่งบรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ปี ในเวลาต่อมาเธอก็สมรสครองเรือน [3] และมีบุตรชายหญิงมากถึง 20 คนเลยทีเดียว [4]
จากเรื่องราวที่ปรากฏในพระไตรปิฎกข้างต้น จะเห็นได้ว่า สังคมอินเดียยุคพุทธกาล มีความเปิดกว้างทางเพศ และแม้ฆราวาสระดับโสดาบัน ก็สามารถแต่งงานและมีบุตรได้ จึงอาจสรุปได้ว่า ศีลข้อ 3 มิได้เห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ผิดบาปแต่อย่างใด
แล้วความหมายที่แท้จริงของศีลข้อ 3 คืออะไร ?
ศีลข้อ 3 มีถ้อยความตามภาษาบาลีว่า “กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี” พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ระบุไว้ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมระบุว่า หมายถึง “เว้นจากการประพฤติผิดในกาม, เว้นจากการล่วงละเมิดสิ่งที่ผู้อื่นรักใคร่หวงแหน “ อีกทั้งยังมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “to abstain from sexual misconduct” [5]
ซึ่งนิยามศัพท์ดังกล่าว มิได้มีความหมายในทางที่ห้ามปรามการมีเพศสัมพันธ์ มี แต่หมายถึงการห้ามพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม เช่นการจีบเพศตรงข้ามที่มีแฟน หรือ สามี/ภรรยาแล้ว การล่วงเกินคุกคามทางเพศทุกรูปแบบนั่นเอง
ซึ่งในหลายครั้งที่มีข่าวคดีความอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากความหึงหวงของผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจากการถูกผู้อื่นเล่นหูเล่นตากับแฟนของตนเอง หรือการคบชู้นอกใจ ซึ่งนี่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผลกรรมของผู้ถูกกระทำที่เกิดขึ้นจากการล่วงละเมิดศีลข้อ 3 นั่นเอง (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการก่ออาชญากรรมดังกล่าวเป้นเรื่องที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน)
ดังนั้นความหมายที่แท้จริงของศีลข้อที่ 3 จึงไม่ได้หมายความว่าห้ามการมีเพศสัมพันธ์ แต่ห้ามความประพฤติทางเพศที่ไม่เหมาะสมทั้งปวง
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร