
63 นักวิชาการ/แพทย์ หนุนนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด ชี้การปลดล็อกกัญชา ทำผิดกระบวนการทางกฎหมายมาแต่ต้น
เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชน ต้านภัยยาเสพติด ซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์ นักวิชาการแพทย์ และอาจารย์คณะแพทย์ ซึ่งมีการลงนามท้ายเอกสาร 63 คน ยื่นหนังสือเปิดผนึก สนับสนุนนโยบายรัฐบาลเรื่องการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 ถึงนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข (สธ.) และ รมว.ยุติธรรม (ยธ.) โดยมีเหตุผล 6 ประการดังนี้
1 การปลดล็อกกัญชาเสรี โดยประกาศกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา เป็นการกระทำ ที่ฝ่าฝืนมติคณะกรรมการ ป.ป.ส. ที่ให้กระทรวงสาธารณสุขรอการบังคับใช้ 120 วัน จนกว่าจะมีกฎหมายควบคุมกัญชาโดยเฉพาะออกมาบังคับใช้ และให้เลื่อนการปลด กัญชาเสรี ออกไปได้ หากกฎหมายกัญชายังไม่แล้วเสร็จ
จุดมุ่งหมายคือเพื่อต้องการให้มีมาตรการควบคุมการใช้กัญชาในทางที่ผิด ที่ดีเพียงพอก่อน แต่กระทรวงสาธารณสุข ก็ยังคงเดินหน้าบังคับใช้ให้เกิดการปลดล็อกกัญชาเสรี แม้จะยังไม่มีกฎหมายกัญชาออกมาก็ตาม จึงเป็นการปลดล็อคกัญชาเสรีที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมตามกระบวนการทางกฎหมายตั้งแต่ต้น
2 การปลดกัญชาเสรีนี้ ก่อให้เกิดสถานการณ์ “กัญชาเสรีในสภาวะสุญญากาศ” ทันที คือไม่มีมาตรการควบคุมเลยโดยสิ้นเชิง ผู้ใดจะปลูกหรือจะเสพทำได้หมด โดยไม่มีมาตรการควบคุมใดๆ (ไม่มีประเทศใดในโลกปลด กัญชาแบบนี้) ต่อมากระทรวงสาธารณสุขทยอยออกมาตรการควบคุมตามมาจำนวนหนึ่ง
แต่ก็เป็นมาตรการที่ไม่มีประสิทธิผล และบังคับใช้ได้ยากเป็นผลให้เกิดการปลูกกัญชาทั่วประเทศทั้งแบบครัวเรือนและแบบพาณิชย์ โดยไม่ต้องขออนุญาต ส่งผลให้เยาวชนเข้าถึงยาเสพติดต่อกัญชาได้ง่ายจากการปลูกเอง ขโมย หรือได้รับจากเพื่อน
ไม่มีการห้ามโฆษณากัญชา หากไม่ใช้ดอกกัญชามาทำการโฆษณา จำหน่ายชากัญชาที่ทำมาจากใบกัญชา ทางเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติได้ตลอด 24 ชั่วโมง และพกพากัญชาในที่สาธารณะได้ไม่จำกัดจำนวน เป็นต้น ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของกัญชาทั่วประเทศไทย
3 การแพร่ระบาดของกัญชานี้ ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง มีผู้เสพกัญชามากขึ้นทั่วประเทศ จำนวนผู้ป่วยจิตเวชเกี่ยวกับการใช้กัญชาที่ เข้ารับการรักษาในหน่วยงานสังกัด กรมสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (แต่ข้อมูลนี้ไม่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ) ครูและผู้ปกครองสะท้อนปัญหาเยาวชนเสพกัญชาอย่างกว้างขวางทั่วไป
4 การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 ด้วยการแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุข จะทำให้กัญชากับเขาไปอยู่ภายใต้การควบคุมของประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งอนุญาตให้ ใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์อยู่แล้ว
การพัฒนาให้ผู้ป่วยเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น หรือการสนับสนุนเศรษฐกิจกัญชาทางการแพทย์ เป็นสิ่งที่ทำได้ โดยการออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องและพัฒนาการ บริหารจัดการ ให้บริการกัญชาทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขให้ดียิ่งขึ้น
โดยไม่จำเป็นต้องปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติดในแบบที่กระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลก่อนทำมา ซึ่งก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศในระยะยาว และทำให้สูญเสียคะแนนนิยมทางการเมืองอีกด้วย
5 ข้อโต้แย้งของผู้ดำเนินธุรกิจกัญชาหรือผู้ที่ปลูกกัญชาแล้ว ว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เหตุผลในการหยุดยั้งนโยบายนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเนื่องจาก
(ก) ผู้ที่ดำเนินธุรกิจ ต้องประเมินความเสี่ยงและรับผิดชอบการกระทำของตนเองอยู่แล้วทั้งในด้านกำไรและขาดทุน
(ข) หากกำหนดบทเฉพาะกาล เช่นอนุโลม 3 – 6 เดือนสำหรับ กัญชาที่ปลูกไว้แล้วแต่ไม่ให้ปลูกใหม่ กัญชาที่ปลูกไว้แล้วจะตายไปโดยธรรมชาติ เพราะเป็นพืชล้มลุก เป็นการบรรเทาความเสียหายเชิงเศรษฐกิจที่เพียงพอแล้ว
(ค) รัฐบาลต้องคำนึงถึงคนทุกกลุ่มผู้ปลูก และผู้ดำเนินธุรกิจกัญชามีจำนวนเพียงหลักพันหรือหลักหมื่น แต่เยาวชนที่สมองถูกทำร้ายได้ด้วยกัญชา พ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ครูที่ต้องสั่งสอนลูกศิษย์ พระที่ต้องสั่งสอนศีลธรรม หมอและพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย มีจำนวนหลาย 10 ล้านคน
อีกทั้งนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลต้องไม่ให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นมาบดบังผลกระทบทางสังคมในระยะยาว
6 การปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติด ซึ่งเป็นผลให้ใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงได้ เป็นการขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ. 1961 ฉบับแก้ไข ที่ขณะนี้ยังคงอนุญาตให้ใช้กัญชาได้ในทางการแพทย์เท่านั้น
ก่อให้เกิดผลกระทบ คือประเทศที่ฝ่าฝืนต่ออนุสัญญาฯ นี้ มีโอกาสถูกห้ามนำเข้ายารักษาอาการป่วยบางประเภท (เช่น มอร์ฟีน) ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อระบบการแพทย์และผู้ป่วยอย่างมาก