
“การปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์” การปฏิวัติที่จะสร้างประวัติศาสตร์ฉากใหญ่ เฉกเช่นเดียวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีต
เมื่อพูดถึง “การปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์” ในแง่มุมหนึ่งสังคมมักจะนึกถึงการที่ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ได้เข้ามามีบทบาทในสังคมเหมือนเมื่อครั้งที่นวัตกรรมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ได้เคยเข้ามามีบทบาทในสังคม พร้อมกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้แก่โลกใบนี้
ปัจจุบันนี้ ปัญญาประดิษฐ์มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่ตอบสนองการพิมพ์ของมนุษย์ในรูปแบบของตัวอักษรอย่างแชทบอท (Bot Chat) ซึ่งสามารถให้คำตอบที่แม่นยำได้ในระดับหนึ่ง ปัญญาประดิษฐ์ที่คอยทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานในโปรแกรมออนไลน์ต่างๆ จำพวกโปรแกรมสื่อสังคมออนไลน์ โปรแกรมยืนยันตัวตนออนไลน์ ในรูปแบบของเครื่องจักรเรียนรู้ (Learning Machine) ที่คอยทำหน้าที่เรียนรู้พฤติกรรมและข้อมูลที่ได้รับ รวมทั้งการกำหนดรหัสคำสั่ง (Algorithm) ที่คอยกำกับการใช้งานของผู้ใช้งานในโลกออนไลน์ ให้ได้รับประสบการณ์การใช้งานในโปรแกรมที่ตรงใจและสบายใจ เหล่านี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์พื้นฐานที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อพิจารณาลึกไปถึงพลังของปัญญาประดิษฐ์ และนำมาเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์โลกก่อนหน้านี้ จะพบว่าการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ในสังคม ย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนผ่านชีวิตของคนบนโลกอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากการเข้ามาของคอมพิวเตอร์ที่ทำให้เกิดเครื่องมือการทำงานทันสมัย และอินเทอร์เน็ตที่ได้เชื่อมต่อทุกคนบนโลกให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยสามารถสื่อสารได้สองทาง การเข้ามาของคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลานั้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสารที่ได้พลิกโฉมโลกให้เป็นอยู่อย่างปัจจุบันนี้
เพียงแต่ว่า การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ย่อมเป็นการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่กว่าเทคโนโลยีเดิมที่มีมาก่อนหน้านี้ในสังคม ไม่ต่างกับช่วงก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับการเข้ามาของเทคโนโลยีเครื่องจักรอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้พลิกโฉมโลกและทำให้โลกเติบโตอย่างก้าวกระโดดในแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ที่พุ่งทะยานขึ้นด้วยเครื่องทุ่นแรงที่สามารถทดแทนแรงงานได้อย่างมหาศาลและทำให้ชาติที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ ขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจมากมาย
ในขณะที่ “ปัญญาประดิษฐ์” คือ กลไกที่ทำหน้าที่แทนที่มนุษย์ในการปฏิบัติงานต่างๆ หากยิ่งมีการเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ ได้มากขึ้นแค่ไหน ปัญญาประดิษฐ์ชนิดนั้นก็จะยิ่งฉลาดและมีวิวัฒนาการใหม่ๆ และยิ่งทำให้ความสามารถในการทำงานเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้มากขึ้นเท่านั้น ต่างจากเครื่องมืออุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่แม้ว่าจะสามารถทดแทนแรงงานได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีขีดจำกัดในเรื่องการเพิ่มเติมจำนวนของเครื่องมืออุตสาหกรรมเหล่านั้นให้มีมากขึ้น โดยที่ยังคงสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโดยรวม โดยไม่ทำให้เกิดผลผลิตมากเกินไปกว่าความต้องการผลผลิตนั้นๆ
การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์เกิดขึ้นได้ทั้งในรูปแบบของการได้รับข้อมูลต่างๆ จากมนุษย์ ซึ่งเปรียบได้กับวัตถุดิบที่สามารถมีมาเรื่อยๆ และไม่หมดไป เพราะข้อมูลคือสิ่งที่เกิดขึ้นแทบตลอดเวลา และการได้รับข้อมูลที่มากเพียงพอ จะทำให้การประมวลคำตอบของปัญญาประดิษฐ์มีความแม่นยำ น่าเชื่อถือ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ใช้งานต่างๆ นำข้อมูลมาป้อนแก่ปัญญาประดิษฐ์ในลักษณะของตัวอักษร เสียง และภาพ เพื่อต้องการคำตอบจากปัญญาประดิษฐ์ และกลายเป็นวงจรที่ทำให้ปัญญาประดิษฐ์เติบโตและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากข้อมูลที่มีอยู่ และการถูกเติมเต็มข้อมูลจากผู้ใช้งานที่ต้องการคำตอบจากปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้
นอกจากนี้ การขยายตัวของปัญญาประดิษฐ์ยังถูกเร่งจากการเขียนชุดคำสั่งเพิ่มเติมของมนุษย์ให้ปัญญาประดิษฐ์เดิมมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก เพราะในช่วงแรกๆ นั้น ปัญญาประดิษฐ์ก็เหมือนกับเทคโนโลยียุคดั้งเดิมที่ยังมีข้อผิดพลาดและมีจุดที่ต้องแก้ไขอีกมากมาย แต่ข้อผิดพลาดเหล่านี้ก็ค่อยๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไปตามการปรับปรุงแก้ไขที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้น
อีกทั้งในระยะหลังๆ เทคโนโลยีการประมวลผลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ศักยภาพในการดำเนินชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะศักยภาพการปฏิบัติงานในโปรแกรมที่ต้องใช้ขีดความสามารถสูงอย่างปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นปัจจัยทางกายภาพที่อาจมีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีและความต้องการการผลิต แต่เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่จะมีอิทธิพลในอนาคต จึงส่งผลให้การลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้มีสูงขึ้นตามไปด้วย และกลายเป็นพื้นฐานของการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จากระบบประมวลผลควบคู่กับปัจจัยอื่นก่อนหน้านี้
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงสภาพสังคมโลกอย่างรวดเร็ว และจะมีผลต่อการกำหนดยุคสมัยใหม่ในอนาคต ไม่ต่างจากการเข้ามาของเครื่องจักรอุตสาหกรรม ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ซึ่งได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนในสังคมไปอย่างสิ้นเชิง และการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 ครั้งก่อนหน้า พร้อมกับการเติบโตทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์โลก
ดังนั้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ย่อมมีผลต่อผู้คนในสังคมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องระบบการทำงานที่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจหมายถึงการเลิกจ้างผู้คนเป็นจำนวนมาก แล้วแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกที่มีการแทนที่แรงงานด้วยเครื่องจักรจำนวนมากมาแล้ว ซึ่งการตั้งรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงพร้อมกับการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ รวมทั้งการเพิ่มเติมทักษะที่มีอยู่แล้วนั้น คือ หนทางที่จะรับมือกับการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยที่
“แปรปรวนและคาดเดาไม่ได้มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์”
โดย ชย
อ้างอิง :
[1] The AI Revolution Is Happening Now
[2] 4IR กับเศรษฐกิจการค้ายุคใหม่
[3] ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้อย่างไร