
รัฐบาลเผย IMF และแบงก์ชาติ คาดเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นต่อเนื่อง คาดกลับสู่ภาวะก่อนโควิดปลายปี 65 ถึงต้นปี 66
รัฐบาล เผย IMF และ ธปท. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน จ่อคืนสู่ระดับก่อนโควิด-19 ภายในสิ้นปี 65 หรือต้นปี 66 สะท้อนเสถียรภาพที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
วันที่ 17 ต.ค. 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายงาน World Economic Outlook (WEO) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ประจำเดือน ก.ค. 2565 ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตที่ 3.2% ในปี 2565 ทั้งนี้ ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และพื้นที่เศรษฐกิจหลักในยุโรป ยังกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดในภาวะการเงินโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีนและรัสเซีย ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับรายงานของ IMF ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2565 จะขยายตัว 2.8% ไม่เปลี่ยนแปลงจากรายงานเมื่อเดือน ก.ค. 2565 เนื่องจากสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อ ทำให้อุปสงค์ในประเทศชะลอตัว เหตุราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการภายนอกที่ลดลง พร้อมทั้งคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่จะขยายตัวประมาณ 4%
ขณะเดียวกันในรายงานของ IMF ยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจไทยซึ่งขยายตัว 1.5% ในปี 2564 หลังจากติดลบ 6.2% ในปี 2563 ได้รับแรงหนุนจากการตอบสนองเชิงนโยบายที่รวดเร็ว และการฟื้นตัวของภาคการส่งออก และ IMF ย้ำว่าแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยหลักๆ ขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเตือนเรื่องราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคของภาคเอกชนและอุปสงค์จากภายนอก
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทายที่ต้องจับตา ทั้งภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว การชะลอตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางงบดุลของภาคเอกชนที่ขยายตัว ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.3% และ 3.8% ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ ตามแรงส่งของภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ โดยภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีกว่าจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความทั่วถึงมากขึ้น ทั้งในมิติของสาขาธุรกิจโดยเฉพาะภาคบริการ และมิติของรายได้ที่เริ่มกระจายตัวดีขึ้น
ทางด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงกว่าคาดไว้ ส่งผลต่อภาคการส่งออก แต่ไม่ได้กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม ขณะที่ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า และครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ จึงยังควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งให้ความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุด และแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง พร้อมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ภายในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนทุกภาคส่วนให้สอดรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธปท. ยังได้นำเสนอปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องดำเนินการ 3 ด้าน สำคัญ ได้แก่
- หนี้ครัวเรือน ต้องลดสู่ระดับยั่งยืน
2. ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยภาคการเงินควรช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน
3. โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัล เร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน Digital Payment
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1.00% ต่อปี เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว ซึ่งสอดรับกับที่ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ โดยจะฟื้นตัวจากกิจกรรมการท่องเที่ยว และการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุน
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและดำเนินการตามนโยบายเพื่อดูแลเศรษฐกิจภาพรวมให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตลอดจนกำหนดมาตรการทางการเงินให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ทิ้งกลุ่มที่เปราะบาง เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) มาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งผลจากการคาดการณ์ของ IMF และ ธปท. สะท้อนเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีและมั่นคง อีกทั้ง ยังอยู่ในระดับที่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้เป็นอย่างดี
#TheStructureNews
#เศรษฐกิจไทย #IMF #ฟื้นตัว
เพื่อไทย เตรียมถกงานจับมือ รทสช.ภูมิธรรมชี้ เพียงรอความพร้อมในการเจรจา ถึงก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ก็พร้อมสนับสนุนยกเว้นแก้ 112 และเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบัน
เปิดข้อมูลหุ้น ‘ธนาธร’ ในกลุ่มธุรกิจพลังงานและยานยนต์
คืนสู่โอลิมปิก รัสเซียจะกลับเข้าแข่งขันได้อีก เมื่อความขัดแย้งในประเทศยูเครนได้รับการแก้ไข
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม