Harvard กำลังหลงทาง ศิษย์เก่ามหาเศรษฐี วิจารณ์มหาวิทยาลัยว่าเลือกปฏิบัติ และหมกหมุ่นอยู่กับลัทธิความหลากหลายเกินไป
บิล แอคแมน ซีอีโอ ของ Pershing Square Capital Management ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์สัญชาติอเมริกันและศิษย์เก่าฮาร์วาร์ด กล่าวว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกำลัง “หลงทาง” พร้อมกับระบุว่า มหาวิทยาลัยเลือกปฏิบัติต่อชายผิวขาว รวมถึงชายเอเชียตะวันออก และชายอินเดีย ซึ่งถูกมองว่าประสบความสำเร็จ
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แอคแมน เคยเป็นข่าว หลังจากที่เขาเรียกร้องให้ คลอดีน เกย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เปิดเผยรายชื่อนักศึกษาที่ได้ลงนามในจดหมายกล่าวโทษอิสราเอลว่าเป็นต้นเหตุของความรุนแรงเพียงฝ่ายเดียว ภายหลังจากที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.
โดยแอคแมนให้เหตุผลว่าเพื่อที่เขาและผู้บริหารคนอื่นๆ จะได้ไม่หลวมตัวไปว่าจ้างนักศึกษาเหล่านั้น
แอคแมน กล่าวพาดพิงถึงอธิการบดี ม.ฮาร์เวิร์ด บนแพลตฟอร์ม X เมื่อวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) ว่า “การต่อต้านชาวยิวเป็นสัญญาณล่วงหน้าถึงภัยอันตรายเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่กำลังเกิดในฮาร์วาร์ด”
“ปัญหาที่ฮาร์เวิร์ดไม่ได้มีแค่เรื่องชาวยิวและอิสราเอลเท่านั้น… แต่ยังเป็นที่ประจักษ์ด้วยว่าผู้ชายผิวขาว รวมถึงผู้ชายเอเชียและอินเดีย ถูกเลือกปฏิบัติในขั้นตอนของการรับสมัครเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด”
“การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจาก สำนักงานความเท่าเทียม ความหลากหลาย การหลอมรวม และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (OEDIB) ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มองโลกในกรอบของผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ ซึ่งชนชั้นผู้กดขี่ประกอบด้วยชายผิวขาว ผู้ชายชาวเอเชีย ผู้ชายชาวยิว และคนอื่นๆ ที่ถูกมองว่าประสบความสำเร็จและมีอำนาจ”
“ซึ่งการเลือกปฏิบัติที่ ม.ฮาร์เวิร์ด ไม่เพียงแต่ผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกที่มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้น”
แอคแมน ยังกล่าวด้วยว่า “ฮาร์วาร์ดไม่ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ แต่ควรเป็น “สถาบันสำหรับคนที่เก่งที่สุดและฉลาดที่สุด และสอนโดยคนเก่งที่สุดและฉลาดที่สุดในสหรัฐฯ” พร้อมกับเน้นย้ำว่า รัสเซีย จีน และประเทศคู่แข่งอื่นๆ ของสหรัฐฯ ไม่ได้เลือกผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาโดยใช้ตัวชี้วัดด้านความหลากหลายและความเสมอภาค เหมือนอย่างที่ฮาร์วาร์ดทำ”