ข้อดีของการที่ รมว.กต. ควบ รองนายกฯ ‘อ.ปณิธาน’ ชี้ การควบตำแหน่งจะทำให้สะดวกคล่องตัว ในการบริการราชการแผ่นดินด้านเศรษฐกิจมากกว่า
สำนักข่าว The Nation เปิดเผยมุมมองของ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความมั่นคง เกี่ยวกับข้อดี/ข้อเสียของการมี รมว. ต่างประเทศ (กต.) ควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2567 ว่า
บทบาทของกระทรวงต่างประเทศมีความสำคัญในการผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนและประเทศ ทำให้การจัดทีมงานของ กต. มีความเข้มข้นขึ้น และเป็นเหตุผลว่าทำไมระยะหลัง รมว.กต. จึงมักจะควบตำแหน่งรองนายกฯ เพื่อการผลักดันด้านเศรษฐกิจ
โดยยกตัวอย่าง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ ชัยกุล (ปี 2554 – 2557) , พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมากร (ปี 2557 – 2558) , นายดอน ปรมัตถ์วินัย (ปี 2558 – 2566) และ ปานปรีย์ พหิทธานุกร (ปี 2566 – 2567) 4 ท่านนี้ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่ควบตำแหน่งรองนายกฯ (ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ – พลเอกประยุทธ์ – เศรษฐา)
อย่างไรก็ดี ครม. เศรษฐา 1/1 นั้นเดิมทีไม่มีรองนายกฯ ที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะมีความรับผิดชอบบางส่วนที่คล้ายกับการรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ แต่การมีนายพิชัย ชุณหวชิร เข้ามาเป็น รมว. คลังควบรองนายกฯ และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็อาจทำให้เกิดการลักลั่นกันกับการทำงานของ รมว. กต. ที่ต้องขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจด้วย
รศ.ดร. ปณิธานเห็นว่า เรื่องของศักดิ์ศรี และเครดิต ไม่เท่ากันก็จริง และเรื่องของโครงสร้างอาจให้ทำเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบได้ ถ้าไม่ควบรองนายกฯ แต่นายกฯ อาจจะเพิ่มตำแหน่งผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) อำนาจพิเศษให้ รมว.กต. ในการเจรจากับต่างชาติ เช่นกรณีการเจรจาร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ในสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมา
หรือจะเน้นเรื่องการทูตการค้าในเชิงเศรษฐกิจ ก็สามารถจะให้รองนายกฯด้านเศรษฐกิจมาช่วยดูแลร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ จะได้ไม่เกิดปัญหาเรื่องการลักลั่นในบทบาทหน้าที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยแก้ไขปัญหา ทำให้ รมว.กต. ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งรองนายกฯ และไม่มีปัญหาการลักลั่นในการทำงาน เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่คนไทยทั้งชาติไทยได้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2567 รศ.ดร. ปณิธานได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “มีอีกประเด็นที่ไม่ได้พูดถึงกันสักเท่าไรก็คือ ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนี้ มีงบประมาณให้บริหารงานด้านต่างๆ ในอดีตตั้งแต่ 50 ล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาทด้วย
และถึงแม้ว่าเรื่องเงินนี้คงจะไม่ใช่ปัจจัยหลักสำหรับหลายคนที่เข้ามาควบตำแหน่งนี้ แต่ในทางการบริหารจัดการและในทางการเมืองก็คงจะทำให้รัฐมนตรีที่ควบตำแหน่ง มีความสะดวกคล่องตัวและได้เปรียบกว่าคนที่ไม่ได้ควบอยู่พอสมควร”