
ราคาข้าวพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี หลังไทยกระตุ้นให้ชาวนาปลูกข้าวน้อยลง หวังสำรองน้ำอุปโภคบริโภคในครัวเรือน
วันที่ 3 สิงหาคม 2566 สำนักข่าว Financial Times รายงานว่าทางการไทยกำลังผลักดันให้ชาวนาปลูกข้าวน้อยลงเพื่อเตรียมรับมือกับภัยแล้งจากปรากฏการณ์ ’เอลนีโญ’ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่เป็นภัยคุกคามครั้งใหม่ต่อตลาดข้าวโลก หลังจากที่คำสั่งห้ามการส่งออกข้าวบางส่วนของอินเดียได้ดันราคาข้าวในเอเชียพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 3 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว
สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เผยว่าชาวนาทั้งในและนอกเขตชลประทานส่วนใหญ่ได้ทำการเพาะปลูกข้าวไปแล้ว แต่รัฐบาลกำลังผลักดันให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทน
ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับภาวะฝนที่น้อยลง ในขณะที่ประเทศเตรียมรับมือกับภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้าจากปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยปริมาณฝนสะสมในภาคกลางจนถึงขณะนี้ต่ำกว่าค่าปกติประมาณ 40% ซึ่งความเคลื่อนไหวของภาครัฐในการควบคุมการปลูกข้าวก็เพื่อช่วยประหยัดน้ำสำหรับการบริโภคในครัวเรือน
พื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยคาดว่าจะครองสัดส่วนเกือบ 14% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดในปีนี้ และคิดเป็น 19% ของการเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกหลักในปี 2566/67 ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งนายสุรสีห์กล่าวว่าระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักในพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 51% ของความจุทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยได้เตือนว่าปรากฏการณ์เอลนีโญอาจทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลงผิดปกติ และแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืช 1 ชนิดในปีนี้ แทนที่จะปลูกพืช 2 ชนิดตามปกติ อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยน่าจะถูกชดเชยด้วยการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากเวียดนาม ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกินเป้าในปีนี้
ตามรายงานของกรมศุลกากรเวียดนามระบุว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 เวียดนามส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีการส่งออกไปยังฟิลิปปินส์ จีน และอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทางการเวียดนามระบุว่า ยอดขายในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารของเวียดนาม
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ เผยว่าอินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยคิดเป็น 40% ของปริมาณการค้าข้าวทั้งหมดในตลาดโลก ขณะที่ไทยและเวียดนามคิดเป็น 15% และประมาณ 14% ตามลำดับ