ราคานมในอินเดียพุ่ง เหตุจำนวนโคนมน้อย และโรคลัมปีสกิน โอกาสทองของผู้ส่งออกนมไปอินเดีย
นมในอินเดียเริ่มมีราคาแพงขึ้น และราคาอาจพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในอีกไม่ช้า ส่งผลให้รัฐบาลต้องเพิ่มการนำเข้าเพื่อเพิ่มปริมาณอุปทานนมในประเทศและลดแรงกดดันด้านค่าครองชีพ
เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในอินเดียกำลังรับมือกับปัญหา 2 อย่างได้แก่ โรคลัมปี สกิน (lumpy skin disease หรือ LSD) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสในโคกระบือ ที่ส่งผลให้โคนมผลิตน้ำนมได้น้อยลง โดยโรคลัมปี สกิน ได้คร่าชีวิตวัวไปในอินเดียไปกว่า 184,000 ตัว และมีวัวติดเชื้อหลายล้านตัว
และปัญหาจำนวนโคนมที่ลดลงจากการชะลอการเพาะพันธุ์วัวในช่วงจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากการปิดเมืองทำให้ขาดแคลนสัตวแพทย์ระดับหมู่บ้านที่จำเป็นในการดำเนินการผสมเทียม
ในช่วงปีที่ผ่านมา ราคานมในอินเดียได้พุ่งขึ้นกว่า 15% สู่ระดับ 56 รูปีต่อลิตร (23 บาท) ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นของราคาที่เร็วที่สุดในรอบ 10 ปี ทำให้เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะปรับลดอัตราเงินเฟ้อค้าปลีกให้ต่ำกว่ากรอบสูงสุดที่ธนาคารกลางอินเดียตั้งไว้ที่ 6%
Upasna Bhardwaj หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารโกตัก มหินทรา (Kotak Mahindra Bank) กล่าวว่า “ราคานมที่พุ่งสูงขึ้นเป็นความท้าทายเพิ่มเติมที่รัฐบาลต้องเร่งจัดการ เนื่องจากนมคิดเป็นสัดส่วนถึง 6.6% ของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ราคานมที่พุ่งสูงขึ้น จึงอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ”
ขณะที่ เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการพัฒนาโคนมแห่งชาติ (NDDB) คาดการณ์ว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์นมจะเพิ่มขึ้น 7% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม การผลิตนมมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเพียง 1% ในปีงบประมาณที่แล้ว (สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2566) ซึ่งต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยต่อปีที่ 5.6% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก
ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา การนำเข้านมและครีมของอินเดียพุ่งขึ้น 1,024% จากปีที่แล้วสู่ระดับ 4.87 ล้านดอลลาร์ (ราว 165 ล้านบาท) แม้ว่าจะมีการเก็บภาษีนำเข้าก็ตาม
(1 รูปี = 0.41 บาท)
(1 ดอลลาร์ = 33.95 บาท)