Articlesข่าวดีประเทศไทยหลากหลายด้าน และอาคมกับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังโลก รวมถึงการอภิปรายที่น่าสนใจของก้าวไกล

ข่าวดีประเทศไทยหลากหลายด้าน และอาคมกับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังโลก รวมถึงการอภิปรายที่น่าสนใจของก้าวไกล

ประเทศไทยมีเรื่องดีๆ ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาหลายอย่าง เป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ล่าสุดที่ไทยได้มีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ตุรกีและซีเรีย ทุกภาคส่วนของไทยนับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียใจ และให้กำลังใจในนามคนไทยทั้งประเทศแล้ว 

 

รัฐบาลคุณประยุทธ์ยังส่งความช่วยเหลือทั้งที่เป็นทรัพย์สิน พร้อมกับทีมช่วยเหลือทั้งทีม USAR จากมหาดไทย ทีม MERT จากกลาโหม ทีมแพทย์ SAT และ EMT จากสาธารณสุขที่เตรียมพร้อมทั้งการเดินทางไปสมทบและช่วยเหลือผ่านระบบออนไลน์ ยังรวมถึงสภากาชาดไทยและภาคเอกชนไทยที่เปิดช่องทางรับบริจาคความช่วยเหลือต่อเนื่อง 

 

ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจที่มีคนไทยเสียชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วย ที่สร้างชื่อเสียงให้ไทยไม่น้อยคือทีม K9 สุนัขร่วมทีมค้นหาที่ชื่อเซียร่าและซาฮาร่า ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันจนกลายเป็นขวัญใจของคนตุรกีและคนไทยในขณะนี้ การทำหน้าที่ของทุกส่วนอย่างเป็นเอกภาพครั้งนี้เป็นเพราะไทยเรียนรู้จากประสบการณ์รับมือกับภัยพิบัติช่วงการระบาดของโควิด 19 จึงสามารถนำมาปรับใช้ได้ดี อันนี้คือด้านความพร้อมรองรับภัยพิบัติ

 

———-
รัฐมนตรีคลังโลก
———-

 

ที่ควรภูมิใจอีกเรื่องคือ คุณอาคม รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง  ได้รับรางวัล Finance Minister of the Year 2023 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ซึ่งเป็นนิตยสารด้านเศรษฐกิจการเงินชั้นนำของโลกเป็นที่น่าเชื่อถือในระดับสากล 

 

ผลงานที่ถูกยกย่องโดดเด่น คือ การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะเจาะจงลงไปที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ระบาดของโควิด 19 จนสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว 

 

คุณอาคมพูดไว้ได้น่าสนใจว่า สาเหตุที่มาตรการเหล่านี้ใช้ได้ผลเป็นเพราะรัฐบาลได้วางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและระบบการชำระเงินไว้อย่างดี ทำให้การกำหนดนโยบายการคลังของไทยมีประสิทธิภาพ 

 

คุณอาคมเป็นรัฐมนตรีที่ทางการเมืองเรียกว่าไม่สังกัดพรรค แต่มีความเก่ง เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค สำคัญที่สุดมีคุณสมบัติที่ตรงใจคุณประยุทธ์คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เคยมีเรื่องถูกร้องเรียนตั้งแต่ทำงานเป็นข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง 

 

การยอมเข้ามาดูแลงบประมาณของประเทศในยามคับขัน จึงสมควรได้รับการยกย่องอย่างยิ่ง ถือว่าคุณประยุทธ์เลือกคนไม่ผิด อันนี้คือความเข้มแข็งของระบบการคลังที่รัฐบาลนี้ทำไว้ให้เห็น


———-
Financial Times ชี้เงินบาทไทยแข็งแกร่ง
———-

 

อีกเรื่องน่าดีใจคือ ประธานร็อคกี้เฟลเลอร์ แคปพิตอล แมเนจเมนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับโลก เสนอบทความผ่านนิตยสารไฟแนนเชียล ไทม์ส ที่ทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจของโลกฉบับหนึ่ง ยกย่องให้เงินบาทของไทยคือสกุลเงินที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดในโลก มีเสถียรภาพมากกว่าทุกสกุลเงินในโลก เป็นรองเพียงสวิสฟรังก์ของสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น 

 

เงินบาทฟื้นตัวจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่ไทยถูกตราหน้าว่าเป็นศูนย์กลางของวิกฤตทางการเงินโลกเมื่อปี 2540 ภายใน 25 ปีไทยดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างรัดกุม จากภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งทำให้ไทยค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ 

 

ปัจจุบันไทยมีเงินทุนสำรองเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีรายได้ประชากรอยู่ที่ 8,000 ดอลลาห์สหรัฐ/หัว/ปี จากเดิมเพียง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/หัว/ปี เท่านั้น 

 

แต่ไทยก็ยังมีจุดอ่อนด้านหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาทางการเมือง อันนี้ก็เป็นความเข้มแข็งด้านการเงินของไทยที่จะเป็นแรงดึงดูดให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจที่จะตัดสินใจนำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ ส่วนจุดอ่อนคงต้องแก้กันต่อไป


———-
บรรยากาศในสภาซึ่งตรงข้ามกับข่าวดีของประเทศ
———-

 

เรื่องดีๆ ข้างบนเป็นเรื่องที่เกิดจากคนต่างชาติแสดงความชื่นชมต่อประเทศไทย ความจริงแล้วยังมีเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับประเทศและคนไทยอีกหลายเรื่องให้เป็นที่น่าภูมิใจ แต่น่าแปลกที่เรื่องดีๆ ที่กล่าวมานี้ไม่มีนักการเมืองไทยคนไหนรับรู้หรือรู้สึกภาคภูมิใจ 

 

เห็นได้จากการอภิปรายเมื่อสองวันที่ผ่านมา ข้อมูลที่พรรคฝ่ายค้านนำออกมาพูดในสภาเพื่อให้กระจายถึงสื่อต่างๆ ไปสู่ประชาชน นอกจากจะไม่มีอะไรใหม่แล้ว ส่วนมากเป็นการตัดต่อข้อมูลที่นำมาใช้พูดก็พูดไม่หมด ราวกับว่าประเทศไทยตอนนี้ไม่มีอะไรดีเลย ไม่มีอนาคตถ้ายังให้คุณประยุทธ์อยู่ต่อไปแม้วันเดียว ช่างแตกต่างจากข้อมูลที่ต่างประเทศมองเข้ามาเหลือเกิน  

 

แต่เรื่องความล้มเหลวที่ตนเองก่อไว้ ไม่เคยหลุดออกมาจากปาก นักการเมืองบางคนใช้คำพูดคำกล่าวที่เหมือนขาดการศึกษา กักขฬะ น่ารังเกียจ ไม่น่าเรียกว่าผู้ทรงเกียรติ ทำให้สภาดูเสื่อมค่าไปโดยปริยาย 

 

เปรียบเหมือนสภาเป็นแพลทฟอร์มที่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองที่คอยกระจายเฟคนิวส์เสียเอง สื่อสารอะไรก็ได้ พูดเรื่องไม่จริงก็ได้ พูดดูถูกเหยียดหยามใครก็ได้ พูดด่าระรานใครก็ได้ ประชาชนไม่ได้รับรู้เรื่องที่เป็นประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะสร้างความรู้สึกที่หดหู่ใจแล้ว ยังสร้างความแตกแยกในสังคมอีก 

 

ความเสียหายอาจจะมากพอๆ กับพวกแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ที่อาศัยการสื่อสารออนไลน์บนแพลทฟอร์มต่างๆ มาใช้หลอกลวงประชาชนเช่นกัน 

 

เมื่อเทียบกับเรื่องที่ควรจะเป็นประโยชน์กับประชาชน อย่างเช่น กฎหมายการศึกษา กฎหมายกัญชา เข้าสู่การประชุมคราวใด กลับล่มแล้วล่มอีก เหตุที่ล่มก็เพราะพรรคการเมืองต้องการเอาชนะคะคานกัน ไม่ได้นึกถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง 

 

ตอนจะเปิดสภาอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อรัฐบาล ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด กลับมานั่งกันเต็มห้องประชุม เพียงเพื่อด่ารัฐบาลและผลัดกันเสนอหน้าหาเสียงเท่านั้น ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกเช่นกัน 

 

แบบนี้ก่อนที่จะไปแก้ไขปัญหาใดๆ นักการเมืองควรเริ่มปรับปรุงบทบาทของตัวเองก่อน ปัดกวาดปัญหาที่เกิดในสภาไม่ว่าเรื่องทุจริตจัดซื้อจัดจ้างที่เรื้อรัง ผลประโยชน์การให้บริการภายในสภาที่มีคนของพรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นก็หนีไม่พ้นที่เขากล่าวหากันว่าเป็นสภาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ไม่ใช่สภาของผู้ทรงเกียรติหรือสภาของประชาชน


———-
รังสิมันต์โรมอภิปรายได้น่าสนใจ
———-

 

แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือการอภิปรายของคุณรังสิมันต์ โรม ที่พูดได้น่าสนใจ น่าคิดตาม และน่าหาทางแก้ไข การพูดครั้งนี้มีน้ำหนัก ตรงที่มีหลักฐานเป็น Chart ประกอบไว้ทุกเรื่องราว ทำให้ต้องตั้งใจฟังและต้องกลับไปอ่านที่สื่อนำ รายละเอียดมาลงภายหลัง ยิ่งคุณชูวิทย์ถึงกลับต้องออกมาชมว่าพูดได้ดี ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ให้เสียหายได้อีกในอนาคต

 

​คุณรังสิมันต์พูดสองเรื่องสำคัญไว้สองเรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรก คือเรื่องของ ส.ว.คนหนึ่งที่ไปเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องและโยงไปหาคุณประยุทธ์ให้ต้องรับผิดชอบ อันนี้เป็นเรื่องการเมือง ใครพูดเท็จพูดโกหก ต้องรับผิดชอบเอาเอง ยุให้ใช้กฎหมายฟ้องร้องกัน จะช่วยให้สังคมได้ประโยชน์ 

 

ส่วนอีกเรื่องเป็นพฤติกรรมของจีนเทาหลายคน ทั้งตู้ห่าว หลินหลง จางเจียนฟู่ เสอจื้อเจียง เซาเซียนโป ที่ไปพัวพันกับนายตำรวจใหญ่ หาเงินกันร่ำรวย จริงเท็จเป็นคดีความกันไปหมดแล้ว 

 

นี่ก็เรื่องเก่าแต่คนดูชอบ เพราะคนไทยผิดหวังกับตำรวจยิ่งกว่ายุคไหนๆ ความถูกต้องไม่สามารถเอาชนะความเลวร้ายได้ รอดูตำรวจไทยจะสามารถสร้างความโปร่งใส สร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมไทยและคนไทยได้หรือไม่

 

เรื่องจีนเทา มีอยู่รายหนึ่งชื่อหยูซินฉี รายนี้แหล่ะที่คุณชูวิทย์ชื่นชมคุณรังสิมันต์ ว่าอภิปรายได้ดี ทั้งมีข้อมูลหนักแน่น (ต้องหนักแน่นแม่นยำอยู่แล้ว เพราะคุณชูวิทย์เป็นคนให้ข้อมูลกับมือ) 

 

ที่นำมาเขียนถึงเพราะฟังและอ่านที่คุณรังสิมันต์อภิปรายไว้น่าคิดว่า นายคนนี้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยนาน สร้างภาพตัวเองว่าเป็นประธานมณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย เปิดตัวเมื่อปี 2560 ทำเรื่องการลงทุน ช่วยคนจีนติดต่อราชการไทย ตั้งบริษัท แต่ไม่มีใบอนุญาต เป็นสมาคมเถื่อน แถมมีโรงเรียนชื่อโรงเรียนธุรกิจเอเชียนสตาร์ โดยนายคนนี้เป็น ผอ. ก็เป็นโรงเรียนเถื่อนอีกเช่นกัน 

 

แต่เรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ คุณรังสิมันต์ไปขุดคุ้ยมาได้ว่านายหยูซินฉีโฆษณาชวนเชื่อว่า ตัวเองได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาด้านกิจการจีนของเชื้อพระวงศ์ไทยและนายพลราชองครักษ์ 

 

มีภาพประกอบว่านายคนนี้สร้างภาพของตัวเองให้เข้าใจว่าเข้าถึงคนใหญ่คนโต มีภาพถ่ายกับสมเด็จ พระสังฆราช องคมนตรีบางคน แต่งเรื่องบิดเบือนภาพให้เหมือนว่าใกล้ชิดวงในของประเทศไทย กลายเป็นเครื่องมือหากินของนายคนนี้ 

 

คุณรังสิมันต์ คุ้ยมาได้อีกว่านายหยูซินฉี แอบอ้างติดข้อความไว้ที่สมาคมว่าได้รับความไว้วางใจและกำลังใจที่ดีจากราชวงศ์ไทย ได้รับเกียรติให้เข้าไปเยือนในวังด้วยการต้อนรับในระดับเดียวกับนายพล ตรงนี้เองที่เป็นข้อคิดข้อเตือนใจสำคัญ 

 

พฤติกรรมของหยูซินฉีสร้างความเสื่อมเสียอย่างยิ่งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลวร้ายอย่างที่สุด สิ่งที่รัฐควรจัดการมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ทำอะไรเลย กลับปล่อยให้หยูซินฉีใช้สถาบันแสวงประโยชน์ ฟังแล้วทำให้คล้อยตามไปได้ว่า ตำรวจละเลย ไม่ทำหน้าที่ มองข้ามความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคนคนนี้ แก้ตัวอย่างไรก็ไม่ขึ้น

 

เรื่องที่ชวนคิดอาทิตย์นี้ คือ ยังมีคนแบบหยูซินฉีอีกกี่คนในสังคมไทย ที่หาประโยชน์ส่วนตัว สร้างความเสียหายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ แอบอ้าง สร้างภาพใกล้ชิด คนแบบนี้เลวพอๆ กับพวกที่ตั้งใจบ่อนทำลายพระมหากษัตริย์ 

 

มีคนเลวที่แสร้งเป็นคนดีอีกกี่คนที่ตำรวจหรือฝ่ายบ้านเมืองละเลยไม่ห้ามปราม ไม่ยุติหยุดยั้ง รู้ทั้งรู้ว่าสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ วันนี้จึงขอจบลงตรงที่ขอวิงวอนถึงตำรวจดีๆ ทั้งหลาย อย่าวางเฉยให้คนอย่างหยูซินฉีลอยนวล จัดการปัดกวาดบ้านเมืองให้เข้าที่เข้าทาง ช่วยจรรโลงความดีงาม ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันหลักของชาติไว้ เพื่อไม่ให้คนเลวมีที่ยืนในสังคมไทยอีกต่อไป

 

#TheStrutureColumnist

#ตุรกี #อาคมเติมพิทยาไพสิฐ #ทุนจีนสีเทา

อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า