Articles10 เหตุผลที่ประเทศไทยยังควรต้องมีโทษประหาร

10 เหตุผลที่ประเทศไทยยังควรต้องมีโทษประหาร

การประหารชีวิตนั้น เป็นวิธีการลงโทษที่มีประวัติยาวนานคู่กับประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และแม้ในประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมบูราบี ยังมีการกล่าวถึงโทษประหารไว้ด้วยเช่นกัน [1] และข้อโต้แย้ง ไม่เห็นด้วยต่อการประหารชีวิตเองก็มีมานับแต่ครั้งบรรพกาลแล้วด้วยเช่นกัน [1]

การโต้แย้งเหล่านี้ ทำให้เกิดกระบวนการพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับโทษประหาร ไม่ว่าจะกระบวนการที่จะทำให้มั่นใจว่าผู้ต้องโทษนั้น เป็นผู้กระทำผิดจริง และสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกประหาร ที่จะได้รับความเป็นธรรม และไม่ได้รับความทุกข์ทรมานในระหว่างกระบวนการประหารชีวิต ซึ่งเป็นสิทธิที่มนุษย์ผู้หนึ่งพึงมี

แต่ถึงกระนั้น การถกเถียงในเรื่องนี้ ยังคงมีตลอดมา แม้ในประเทศไทย ซึ่งนายเรอเน กียอง ที่ปรึกษากรมร่างกฎหมายชาวฝรั่งเศส เคยเสนอข้อคิดเห็นว่า การพิจารณาว่าควรยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตหรือไม่นั้น ควรพิจารณา “บริบทของสังคมของประเทศไทยเป็นหลัก” [2]

นอกจากนี้ ถึงแม้ฝ่ายผู้สนับสนุนการยกเลิกจะพยายามยกอ้างกลุ่มประเทศยุโรป [3] แต่นี่เป็นการนำเสนอที่มีอคติ และละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศกลุ่มชาติตะวันตกด้วยเช่นกันนั้น ยังไม่ยกเลิกโทษประหาร และในปี พ.ศ. 2564 มีผู้ถูกประหารชีวิตโดยศาลอเมริกันถึง 17 ราย [4] (ไม่นับกรณีการวิสามัญฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐ ที่ปี 2564 ปีเดียว มีจำนวนสูงถึง 995 ราย หรือเฉลี่ย 2.73 คนต่อวันเลยทีเดียว [5])

และนี่คือ 10 เหตุผลว่า ทำไมประเทศไทย จึงควรจะยังธำรงเอาไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต

  1. ในฐานะประเทศเอกราช ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ ประเทศไทย จึงควรจะพิจารณากระบวนการยุติธรรมของตนเอง ตามหลักเหตุผลทางวิชาการที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศ และสภาพสังคมของตัวเอง มิใช่โดยการแทรกแซงจากชาติอื่นใด เพื่อความสง่างามของชาติและปวงชนชาวไทย
  2. เคยมีตัวอย่าง เจ้าพ่อยาเสพติด ปาโบล เอสโกบาร์ (Pablo Escobar) ซึ่งถึงแม้จะถูกจับกุมและคุมขังเอาไว้ แต่ยังใช้เงินและอิทธิพลของตนเองในการเนรมิตคุกให้เป็นสถานกักกันสุดหรู และยังคงค้ายาเสพติดต่อไป เสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย [6] และนี่ก็อาจเกิดขึ้นกับไทยด้วยเช่นได้
  3. โดยเทคนิคทางกฎหมายไทย การไม่มีโทษประหาร จะทำให้นักโทษสามารถทำเรื่องขออภัยโทษจนสามารถออกจากคุกได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
  4. ควรมีความหลากหลายในการลงโทษ ซึ่งโทษประหาร และการจำคุกตลอดชีวิตนั้น ต้องไม่เท่ากัน
  5. ในเม็กซิโก ซึ่งยกเลิกโทษประหารในปี 2548 ทำให้ฆาตกรรมรายหนึ่งซึ่งก่อเหตุในปี 2550 [7] และถูกจำคุกเพียง 9 ปี นั้น ย้อนกลับมาสังหารหมู่ครอบครัวของเหยื่อเดิมของเขาถึง 11 ชีวิต อย่างโหดเหี้ยม [8] ดังนั้น การประหารชีวิตคนใจเหี้ยม จึงเป็นการปกป้องครอบครัวผู้เสียหาย พยานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดี หลังจบสิ้นประบวนการยุติธรรม
  6. ผู้ค้ายาเสพติดบางราย เลือกเส้นทางขนยาในประเทศที่ไม่มีโทษประหาร [9]
  7. ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนิติวิทยาศาสตร์ และการพัฒนาความถี่ถ้วนรัดกุมของกระบวนการพิจารณาคดี โอกาสที่จะประหารผู้บริสุทธิ์นั้นเกิดขึ้นน้อยมาก อย่างน้อยที่สุด กรณีการประหารผู้บริสุทธิ์ครั้งสุดท้ายของไทยนั้นคือ พ.ศ. 2529 หรือ 35 ปีที่แล้ว [10] และนอกจากนี้ การมีโทษประหาร กับโอกาสในการประหารผู้บริสุทธิ์นั้น เป็นคนละเรื่องที่ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกัน
  8. ในแง่ของมนุษยธรรม ปัจจุบันประเทศไทยใช้วิธีการฉีดยา ซึ่งถือว่ามีมนุษยธรรมสูงมากพอแล้ว อีกทั้งยังตรงตามข้อเสนอที่ เรอเน กียอง เคยเสนอต่อรัฐบาลไทยแล้ว [2]
  9. ไม่มีรายงานว่า การยกเลิกโทษประหารจะทำให้อาชญากรรมลดลง และในทางกลับกัน ก็ไม่มีรายงานว่า การมีโทษประหารจะลดจำนวนอาชญากรรมด้วยเช่นกัน
  10. แต่โทษที่รุนแรง มีแนวโน้มที่จะจูงใจให้ผู้ต้องหาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินคดี เช่น กรณีในต่างประเทศที่อดีตหัวหน้ามาเฟียยอมให้ข้อมูลกับตำรวจเพราะกลัวโทษประหาร [11]

การโต้เถียงกันถึงการคงอยู่ และวิธีการประหารชีวิตนั้น เป็นหนึ่งในข้อโต้เถียงคลาสสิก ที่มีการถกเถียงกันเรื่อยมาเป็นเวลาพันกว่าปีแล้ว และจะเห็นได้ว่า การโต้เถียงกันบนหลักวิชาการและข้อเท็จจริงนั้น เกิดผลประโยชน์ต่อสังคมและตัวกระบวนการยุติธรรมเองมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พึงระวังคือ การนำอคติของตนเข้ามาแทรกในหลักวิชาการ อาทิ การนำสิ่งที่ไม่เกี่ยวกันมาโยงให้ดูเหมือนจะเกี่ยวกัน หรือการนำตัวอย่างของชาติอื่นเข้ามาอ้าง โดยไม่พิจารณาบริบทองค์ประกอบ

ซึ่งการมีอคตินั้น ทำให้เกิดการบิดเบือน ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม อันจะนำมาซึ่งความผิดพลาด และเกิดผลร้ายต่อสังคมส่วนรวม

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าผู้อ่านจะเห็นด้วยกับบทความนี้หรือไม่ก็ตาม ก็ขอให้พิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม เป็นกลาง และยึดโยง “ข้อเท็จจริงของสังคมไทย” เป็นสำคัญ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า