Here We Go 31
ในปีนี้และในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ น้ำจะท่วมใหญ่กรุงเทพฯ และปริมณฑลหรือไม่ กำลังเป็นความกังวลของคนเมืองกรุง กรุงเทพฯ บางส่วนโดนน้ำท่วมไปแล้ว 15 เขต 34 แขวง แต่ยังไม่หนักมาก
สำหรับพี่น้องในต่างจังหวัดได้รับผลกระทบมากกว่า เพราะกำลังเผชิญปัญหาน้ำท่วมที่หนักกว่าคนกรุงเทพฯ เจอทั้งน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนเป็นต้นมา มี 35 จังหวัดแล้วที่ได้รับผลกระทบทั้งในภาคเหนือ อีสาน และกลาง
ประชาชนได้รับผลกระทบแสนกว่าครัวเรือน หากแต่พระมหากรุณาธิคุณและความช่วยเหลือจากภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วน ได้ถูกส่งไปช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องทุกวัน นับว่าทำให้การเผชิญหน้ากับความเดือดร้อนไม่อ้างว้างโดดเดี่ยว
———-
สถานการณ์น้ำท่วมที่ต้องเฝ้าระวัง
———-
ถ้าดูสถานการณ์ฝนใน 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 22 กันยายน และมวลน้ำจากตอนเหนือที่กำลังถูกระบายลงมา ก็ต้องวิตกกังวลกันแน่ๆ เพราะประเทศไทยจะมีฝนมากขึ้น มีฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพฯ
การระบายมวลน้ำย่อมมีมากขึ้นตามมา การผันน้ำที่มีประสิทธิภาพจากเขื่อนสำคัญ ทดน้ำไปตามแหล่งน้ำ ขนาดกลางและขนาดเล็กจะช่วยทำให้มวลน้ำขนาดใหญ่ไม่ไหลถล่มกรุงเทพฯ ว่ากันว่ารัฐบาลกำลังทำเรื่องเหล่านี้อยู่
คำแนะนำตอนนี้คือเตรียมพร้อมและไม่ตื่นตระหนก ใครที่มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำ คลอง คงคุ้นเคยและเตรียมความพร้อมได้ดี ส่วนคนที่มีบ้านอยู่ถัดเข้ามาก็ต้องรู้ว่าควรเคลื่อนย้ายข้าวของแบบไหน เตรียมการย้ายที่อยู่อย่างไร
กทม. โดยคุณชัชชาติน่าจะเตรียมการวางแผนรับมือได้ครบถ้วน อย่าลืมเรื่องการเยียวยาคนที่ได้รับความเดือดร้อนตามที่ประกาศพื้นที่ไว้ด้วย ต้องรวดเร็ว ทั่วถึง เสมอภาค และเป็นธรรม
———-
ข่าวบิดเบือนเรื่องทุนสำรอง
———-
อาทิตย์นี้มีข่าวชิ้นหนึ่งที่ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลกันมาก เงินสำรองระหว่างประเทศของเราลดลงจาก 2.78 แสนล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ หมายถึงว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเวลานี้ทุนสำรองของเราลดลงไปประมาณ 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์
เงินจำนวนนี้ลดลงได้อย่างไร เอาไปใช้ทำอะไร พยุงค่าเงินบาทหรือ เรื่องนี้ข้อเท็จจริงก็คือมันลดลงจริง แต่ถึงจะลดลง สถานะทางการเงินของไทยเราก็ยังแข็งแกร่ง เงินสำรองเรายังอยู่ในระดับสองแสนกว่าล้านดอลลาร์ คิดเป็น 48% ของ GDP มีความมั่นคงในอันดับ 12 ของโลก ห่างไกลจากเสียงลือ เสียงค่อนแคะว่าจะล้มละลาย รัฐบาลบริหารผิดพลาด
แนะนำว่าควรอ่านคำชี้แจงของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งไม่เคยพูดโกหก ชัดเจนว่าตลาดการเงินโลกผันผวน เพราะภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ค่าเงินบาทสูงขึ้นถึง 14.6% เพราะมาตรการสู้กับเงินเฟ้อ
แต่ไม่พบสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศอย่างผิดปกติ ตั้งแต่ต้นปีมานักลงทุนต่างชาติยังซื้อขายในสินทรัพย์ของไทยมูลค่าสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท เรื่องนี้น่าจะหมดห่วงได้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลใกล้ชิดและน่าเชื่อถือ รมต.คลังคนนี้ไว้ใจได้ ซื่อสัตย์สุจริต
———-
รอลุ้นเรื่อง 8 ปีนายกฯ ในสัปดาห์หน้า
———-
เรื่อง 8 ปีของคุณประยุทธ์ วันที่ 30 นี้คงรู้เรื่องเสียที จะต้องจบหรือไปต่อ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะเป็นอย่างไร ประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าต่อไป ข้อดีคือมีความชัดเจนด้วยข้อกฎหมาย การเดินหน้าต่อจะได้ไม่มีปัญหาอุปสรรค
ถ้าต้องมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็ต้องมี จะเป็นใคร มีชื่อว่าอะไร รัฐธรรมนูญกำหนดช่องทางไว้แล้ว เพียงแต่มันเป็นการเมือง ก็ต้องเล่นเกมการเมืองกันตามสมควร จะให้ยอมกันง่ายๆ คงไม่มี
หรือถ้านายกรัฐมนตรีต้องเป็นคุณประยุทธ์เหมือนเดิมต่อไป ก็ต้องเป็นไปตามนั้น คุณประยุทธ์ก็กลับมาทำหน้าที่ สานงานทุกอย่างต่อ การเมืองก็ต้องถล่มคุณประยุทธ์ทั้งในสภาและนอกสภา คุณประยุทธ์และรัฐบาลก็ต้องบริหารจัดการให้ได้
จะทำอย่างไรกับการเมือง รัฐธรรมนูญเขียนบอกไว้หมดแล้ว คุณประยุทธ์เลือกเอาได้ บ้านเมืองมีทางออกของตัวเองอยู่เสมอ ทุกฝ่ายมีหน้าที่เดียวที่เหมือนกันคือ ทำบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ให้เป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญ
———-
ความรุนแรงจากการปั่นความเกลียดชัง
———-
สัปดาห์ก่อนสะดุดกับข่าวที่มีชายชาวบราซิลบุกเข้าประชิดตัวรองประธานาธิบดีหญิงอาร์เจนตินา เอาปืนจ่อที่ใบหน้าแล้วลั่นไก แต่โชคดีที่กระสุนไม่ลั่นออกมาจึงถูกจับกุมเพื่อสอบสวนหาสาเหตุต่อไป
ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ เพิ่งถูกจ่อยิงจนเสียชีวิตระหว่างที่กำลังหาเสียงเลือกตั้งอยู่เช่นกัน การเข้าทำร้ายมุ่งสังหารผู้นำประเทศแบบซึ่งหน้าเหมือนจะกลายเป็นแฟชั่นในยุคนี้
การลอบทำร้ายผู้นำประเทศไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น มีการทำมาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน ทั้งในประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนา ประเทศด้อยพัฒนา ในหลายรูปแบบตั้งแต่ลอบยิง ลอบวางระเบิด หรือแม้แต่ใช้โดรนสังหาร เกือบทุกเคสไม่ใช่เป็นการทำแบบต่อหน้าต่อตาเหมือนปัจจุบัน
น่าสนใจไม่น้อยที่ตอนนี้ประเทศในละตินอเมริกาตื่นตัวกับสาเหตุของการก่อเหตุรุนแรงในลักษณะนี้ การแข่งขันหาเสียงเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองกำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ
การหาเสียงของนักการเมืองเต็มไปด้วยการโจมตี ให้ร้าย ทิ่มแทงคู่ต่อสู้ ยุยงปลุกปั่น สร้างความแบ่งแยกกลุ่มชน หรือที่เรียกว่า Hate Speech กันอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา
กลายเป็นเรื่องที่ขำไม่ออก เมื่อนักการเมืองเหล่านี้เวลาออกจากบ้านต้องสวมเสื้อเกราะกันกระสุนไปด้วย เพราะคาดคะเนได้ถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง
ผู้นำหลายประเทศยอมรับว่า การแสดงออกด้วยการใช้ความรุนแรงในที่สาธารณะของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มีมากขึ้นอันเป็นผลมาจากการคล้อยตาม Hate Speech ของนักการเมืองที่หวังสร้างความนิยมในตัวเองเท่านั้น
———-
Hate Speech ที่น่าเป็นห่วงในไทย
———-
ไม่ต้องดูอื่นไกล นักการเมืองไทยก็เช่นกัน ฟังจากการอภิปรายในสภาสมัยนี้ ส.ส.บางพรรคมักจะอ้างเอกสิทธิ์คุ้มกันทางกฎหมายที่มีเจตนารมย์ไว้สำหรับ Freedom of Speech มาบังหน้า แต่เจตนาที่แท้จริงแล้วต้องการก่นด่าผู้นำรัฐบาลให้ได้รับความอับอาย ดูด้อยค่า บางครั้งไม่ได้มีข้อเท็จจริงใดๆ มารองรับ
การแสดงออกลักษณะนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสาธารณะ ทำให้กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการใช้วาจากล่าวให้ร้าย จาบจ้วงคนอื่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นความกล้าในการแสดงออกที่ควรแก่การยกย่อง
การปลูกฝังพฤติการณ์เหล่านี้ นานวันเข้าจะเปลี่ยนไปเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรุนแรงในที่สุด การเรียนรู้ทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง Hate Speech กับ Freedom of Speech จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ไทยเคยมีตัวอย่างให้เห็นแล้วถึงการใช้ Hate Speech ในการชุมนุมทางการเมือง จนทำให้นายกรัฐมนตรีสมัยนั้นถูกคุกคามอย่างขาดสติจนเกือบทำให้เสียชีวิต นักการเมืองบางพรรคใช้คำพูดปลุกระดมจนทำให้ประชาชนขาดสติ เผาบ้านเผาเมืองกันก็มีให้เห็น
เหตุเผาศาลากลางจังหวัดที่เกิดขึ้น คนที่ต้องมารับโทษตามกฎหมาย คือคนที่ลงมือกระทำ แต่คนที่ใช้ฝีปากยั่วยุกลับลอยนวล บางคนกลับได้ดีมีตำแหน่ง สำเร็จสมดังปรารถนา ไม่เคยต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูดไว้ ที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมทางการเมือง
แต่ปัจจุบัน Hate Speech เกิดขึ้นทั้งในสภาและนอกสภา รวมทั้งในโลกออนไลน์ เกิดขึ้นแบบไม่มีเวลาเป็นตัวกั้นกำหนด เป็นการสร้างความเกลียดซัง แบ่งแยกกลุ่มคนตลอดเวลา เหมือนน้ำร้อนที่เดือดอยู่ในกาต้มน้ำ หาทางระบายไม่ได้ แค่รอวันระเบิดเท่านั้น
บาง Hate Speech ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีหลายครั้งที่สื่อถึงการมุ่งร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ แม้จะพยายามให้ข้อกฎหมายเข้ามาจัดการ แต่ขั้นตอนเต็มไปด้วยความล่าช้า กว่าจะนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ต้องใช้เวลานาน
ขณะที่สื่อออนไลน์แพร่กระจายได้รวดเร็ว ฝังลึกลงไปในสมองของคนที่ขาดความรู้เท่าทัน ซึมซับรับรู้ในสิ่งที่ผิด เกิดเป็นความรู้สึกเกลียดชัง และพัฒนาเป็นความไม่พอใจ จนต้องแสดงออกอย่างรุนแรงก็จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
———-
อาจถึงเวลาต้องผลักดันกฎหมายป้องกัน Hate Speech
———-
ในยามที่เรายังไม่สามารถดูแลการแสดงออกทางสื่อออนไลน์ ด้วยวิธีทางเทคนิคใดๆ ได้ ดังนั้นการใช้ Hate Speech โดยอาศัยสื่อออนไลน์ น่าจะมีกฎหมายพิเศษเข้ามาดูแลเหมือนกับประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์
เพราะเขาตระหนักดีว่าอันตรายที่เกิดจาก Hate Speech อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเป็นเอกภาพของคนในประเทศ
ส่วนไทยยังไม่มีกฎหมายที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง อาศัยกฎหมายอื่นที่มีอยู่แล้วมาเทียบเคียง เช่น กฎหมายแพ่งและอาญาว่าด้วยการหมิ่นประมาท หรือกฎหมายคอมพิวเตอร์ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ซึ่งยังคงมีช่องว่างในการบังคับใช้อยู่ และไม่สามารถระงับผลได้ทันการณ์
อาจต้องเริ่มจากผู้มีบทบาทในสภาทั้งหลาย ที่ต้องช่วยผลักดัน รวมทั้งดูแลกันเองอย่างเข้มงวดกว่านี้ ต้องไม่ยอมปล่อยให้นักการเมืองที่ขาดสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ใช้สภาเป็นที่กำบัง คอยแอบชี้นำให้คนในสังคมเดินไปในหนทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่เคารพกฎหมาย สร้างความแตกแยกต่อคนในชาติอย่างที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้
#TheStrutureColumnist
#น้ำท่วม #วาระ8ปี #เงินสำรองระหว่างประเทศ #HateSpeech
‘วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540’ วิกฤตที่ทำให้ประเทศไทยล้ม ก่อนที่จะลุกขึ้นมาใหม่ เป็นไทยที่แข็งแรงมั่นคงกว่าเดิม
โค้งสุดท้ายผู้ว่าฯ 2565 เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าคูหา! ‘ส.ก.’ กับ ‘ผู้ว่าฯ’ ต่างกันอย่างไร?
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม