เสริมความแข็งแกร่ง BRICS มีขนาดเศรษฐกิจ 40% ของ GDP โลก หลังจาก 6 ประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่
การรับประเทศสมาชิกใหม่ 6 ประเทศจะขับเคลื่อนกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ “บริกส์” (BRICS) ให้เแซงคู่แข่งสำคัญอย่างกลุ่ม G7 ในแง่เศรษฐกิจ สื่อรัสเซียหลายแห่งรายงานในสัปดาห์นี้ โดยอ้างอิงการคำนวณจากข้อมูลทั่วโลก
กลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ตกลงกันเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมาว่าจะรับซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน เอธิโอเปีย อียิปต์ อาร์เจนตินา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าเป็นสมาชิกเต็มตัวตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายเร่งรัดความพยายามผลักดันการปฏิรูประเบียบโลกในปัจจุบันที่ล้าสมัย
สำนักข่าว RBK และ TASS ของรัสเซียรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของกลุ่ม BRICS ที่ขยายสมาชิกแล้วในแง่ของความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ (PPP) จะอยู่ที่ประมาณ 65 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 2.29 พันล้านบาท) ซึ่งจะทำให้กลุ่ม BRICS ครองสัดส่วนถึง 37% ของ GDP โลก เพิ่มขึ้นจาก 31.5% ขณะที่กลุ่ม G7 ถือครองเพียง 29.9%
นอกจากนี้ กลุ่ม BRICS จะมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการผลิตอาหารของโลก ทั้งนี้ ในปี 2021 ผลผลิตข้าวสาลีของกลุ่มคิดเป็น 49% ของผลผลิตทั่วโลก ขณะที่กลุ่ม G7 คิดเป็น 19.1%
BRICS ยังมีข้อได้เปรียบในแง่ของการผลิตโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง โดยสมาชิก BRICS ทั้ง 11 ประเทศจะครองสัดส่วนการผลิตอลูมิเนียม และแพลเลเดียมถึง 79% และ 77% ของผลผลิตทั่วโลก ขณะที่กลุ่ม G7 ที่ครองสัดส่วนเพียง 1.3% และ 6.9% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน การผลิตภาคอุตสาหกรรมของกลุ่ม BRICS จะเพิ่มเป็น 38.3% ของผลผลิตทั่วโลก เมื่อเทียบกลับกลุ่ม G7 ที่ 30.5%
ซาอุดีอาระเบียมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกใหม่ของกลุ่ม BRICS ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 38.78 ล้านล้านบาท) ณ สิ้นปี 2565
ในขณะเดียวกัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะเป็นส่วนเสริมที่น่าเกรงขามของกลุ่มนี้ จากสถานะผู้ส่งออกรายใหญ่ โดยมูลค่าการส่งออกรวมในปี 2565 อยู่ที่เกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 21.14 ล้านล้านบาท)
ประเทศในกลุ่ม BRICS ทั้ง 11 จะมีพื้นที่บนบกรวมกัน 48.5 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็น 36% ของพื้นที่บนบกทั่วโลก ซึ่งมากกว่ากลุ่ม G7 ถึง 2 เท่า และมีประชากรรวมกัน 3,600 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 45% ของประชากรโลก และมากกว่ากลุ่ม G7 ถึงกว่า 4 เท่า
(1 ดอลลาร์ = 35.23 บาท)
ที่มา: สำนักข่าวอาร์ที