“เพื่อไทย is the new ประชาธิปัตย์?” ใบตองแห้งและประทีป คงสิบ อดีตสองผู้นำ Voice TV วิจารณ์แนวทางและอนาคตของพรรคเพื่อไทย ว่าทำไมถึงแพ้ก้าวไกลในอนาคตแน่นอน
วันที่ 14 ก.ย. 66 ใบตองแห้ง-อธึกกิต แสวงสุข อดีตพิธีกรรายการ Voice TV, เอี่ยว-ประทีป คงสิบ อดีต ผอ. Voice TV และสมคิด พุทธศรี บรรณาธิการบริหาร The101.world ร่วมกันจัดรายการ ค.การเมือง ตอน “เพื่อไทย is the new ประชาธิปัตย์?” วิจารณ์แนวทางและอนาคตของพรรคเพื่อไทย ว่าทำไมถึงแพ้ก้าวไกลในอนาคตแน่นอน ซึ่งรายการมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
ใบตองแห้งกล่าวว่าพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคที่พร้อมจะชน เดินแนวทางประนีประนอม มียุทธศาสตร์พรรคที่นำเรื่องปากท้อง “ประชาธิปไตยกินได้” มาเป็นตัวนำ และเชื่อว่าคนจะเลือกเพื่อไทยหากดำเนินแนวทางนี้ เพื่อใช้คะแนนเสียงที่ได้รับในการเจรจาประนีประนอมกับอำนาจรัฐ หลัก แต่เป็นเพราะคนรู้สึกไม่พอใจกับระบบราชการ ต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่มากกว่า คะแนนจึงเทไปยังก้าวไกล นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังมีจุดผิดพลาดอีกหลายจุด จนทำให้พ่ายแพ้อย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ ของตัวเองตั้งแต่สมัยไทยรักไทย เรื่อง“ประชาธิปไตยกินได้” แต่สังคมได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว คนไม่ได้มองแต่เพียงเรื่องปากท้องแล้ว ส่วนหนึ่งคือพรรคเพื่อไทยขึ้นอยู่กับนายทักษิณ ชินวัตรเพียงอย่างเดียว และนายทักษิณ ซึ่งอยู่แดนไกลมายาวนาน ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่แท้จริง จึงประเมินสถานการณ์ผิดไปหมด
นายสมคิดตั้งคำถามว่า ทั้ง ๆ ที่พรรคเพื่อไทยมีการจัดทำโพลที่มีความแม่นยำ แต่ทำไมยังพลาดได้ ซึ่งทั้งใบตองแห้งและเอี่ยว-ประทีปต่างก็สงสัย แต่ตอบไม่ได้เช่นกัน
“มันเริ่มประเมินผิดมาตั้งแต่ ปี 62 แล้ว 66 ก็ยิ่งประเมินผิด กระแสตอนเริ่มเลือกตั้ง แลนสไลด์มันดังกระหึ่มมาก ก้าวไกลแทบจะฝ่าวงล้อมไม่ได้ แต่ความชัดขึ้นเรื่อย ๆ ของก้าวไกลมันก็ทะลุขึ้นมา” ใบตองแห้งกล่าว
มีการพูดถึงตัวผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ก็เป็นคนรุ่นเก่าสูงอายุ แทบไม่มีคนรุ่นใหม่ ถึงแม้ว่าก่อนการเลือกตั้งจะมีการผลักดันคนรุ่นใหม่เข้ามา แต่เพื่อถึงช่วงเลือกตั้งกลับขาดหายไป ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่มีโอกาสเติบโตในพรรคเพื่อไทย
เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่าปัญหาของเพื่อไทยคือ ถ้าเราจะมองแถว 2 มันมองไม่เห็นใคร บทบาทของคนรุ่นใหม่ในพรรคมีน้อยเกินไป ไม่มีความโดดเด่น ซึ่งผิดกับพรรคก้าวไกลที่มีคนยืนรอรับช่วงต่ออยู่เรื่อย ๆ เข้ามาแล้วพร้อมจะทำงานต่อได้เลย
มีการพูดถึงพรรคไทยรักไทย สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่มีความทันสมัยในเวลานั้น คนที่เก่งที่สุดของสังคมในช่วงอายุ 30 – 40 – 50 ปี ไปอยู่กับไทยรักไทยหมด ในขณะที่ในเวลานี้ คนเก่งช่วงอายุดังกล่าวไปอยู่กับพรรคก้าวไกลหมด เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่า พรรคก้าวไกล นำเสนอแนวคิดที่ใหม่กว่า ในขณะที่เพื่อไทยก้าวตามไม่ทันโลก คนจึงหันไปเลือกก้าวไกล
ใบตองแห้งกล่าวว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทยในเวลานั้น เป็นนโยบายที่เปลี่ยนโครงสร้างระบบสาธารณสุขของไทย ซึ่งมีที่มาจากความพยายามของ นพ. สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งเคยมีการทดลองทำที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาครมาแล้วในสมัยรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นผู้ดูแลโครงการ แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับไม่เอา แต่คุณทักษิณกลับนำมาเป็นนโยบาย และสานต่อจนประสบความสำเร็จ
โครงการ 30 บาท เป็นการรื้อระบบสาธารณสุขขึ้นมาปรับปรุงแก้ไขทั้งระบบ เปลี่ยนโครงสร้างอย่างแท้จริง ซึ่งผิดกับโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งมาในระหว่างหาเสียงเพราะกลัวจะไม่แลนด์สไลด์
นโยบายของพรรคไทยรักไทย ทั้งทันสมัยและมาจากความเข้าใจในสภาพสังคมในเวลานั้น ส่งเสริมกระจายเศรษฐกิจออกไปสู่ตำบล ในขณะที่ ทักษิโนมิกส์ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีวิธีคิดที่จะดูแลคนระดับรากหญ้า ในขณะที่นโยบายของพรรคยุคต่อมา คือพลังประชาชน และเพื่อไทยนั้น ไม่น่าสนใจ อีกทั้งทำไม่ได้ผล
เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่า นโยบายของพรรคไทยรักไทยในยุคปี 44 นอกจากจะทันสมัย โดนใจแล้ว ยังสามารถดำเนินการจนประสบความสำเร็จได้ด้วย จึงได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นในปี 48 จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของไทย
ใบตองแห้งกล่าวว่า รัฐบาลนายทักษิณ ในยุคไทยรักไทย พรรคมีความเข้มแข็งมาก แต่เมื่อมาถึงยุคพลังประชาชน นายทักษิณต้องพึ่งหลายฝ่ายมากเกินไปจนอ่อนแอลง จนมาถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไม่สามารถกุมอำนาจได้ มีกลุ่มก้อนในพรรคมากเกินไป
เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่า ความจริงแล้วอุดมการณ์ของพรรคตั้งแต่สมัยไทยรักไทย รวมไปถึงตัวนายทักษิณ และแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยหลายคนนั้น มีความเป็นอนุรักษนิยมในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมา ไม่มีตัวเปรียบเทียบที่เป็นเสรีนิยมชัดเจนเหมือนพรรคก้าวไกล จึงทำให้ภาพของนายทักษิณและพรรค จึงดูเหมือนเป็นเสรีนิยม
และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเสียงในมุมของอนุรักษนิยม-เสรีนิยม จะเห็นว่าฐานของคนที่เป็นอนุรักษนิยมในประเทศไทยยังมีมากกว่าเสรีนิยม แต่ในอนาคตคะแนนน่าจะเทมาทางเสรีนิยมสูงขึ้น เลือกพรรคก้าวไกลมากขึ้น
สำหรับตัวผู้นำพรรคเพื่อไทยรุ่นถัดไปที่จะขึ้นมาแทนที่นายทักษิณนั้น เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่า เมื่อถึงจุดนึงที่ครอบครัวชินวัตรรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงกับชีวิตในบั้นปลาย ตระกูลชินวัตรน่าจะถอยออกไปจากการเมือง เนื่องจากคนในตระกูลชินวัตร มีเพียงนายทักษิณเท่านั้นที่มีแรงบันดาลใจทางการเมือง การเข้ามาของอุ๊งอิ๊ง-นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร เป็นเพียงเพราะสถานการณ์บีบบังคับเท่านั้น
ใบตองแห้งกล่าวว่านายทักษิณน่าจะไม่อยากจะทำอะไรต่อแล้ว เพียงแต่ยังต้องการพรรคเอาไว้เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง เนื่องจากหลังการรัฐประหารปี 49 ครอบครัวชินวัตรเผชิญหน้ากับมรสุมทางการเมืองมาโดยตลอด “ผมว่าเค้าไม่ได้อยากเล่น แต่เค้าถอยไม่ได้ เค้าต้องมีพรรค” ใบตองแห้งกล่าว
สำหรับผู้ที่จะขึ้นมาแทนนายทักษิณ ใบตองแห้งกล่าวว่า “ยากมาก ถ้าคุณไม่มีนโยบาย ไม่มีทักษิณ คุณก็เป็นเหมือนพรรคภูมิใจไทย สู้ภูมิใจไทยไม่ได้” เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่าถ้านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีสามารถบริหารประเทศได้ดี นำพารัฐบาลได้ตลอดรอดฝั่ง ฐานการเมืองก็จะย้ายมาที่นายเศรษฐาแทน
เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่านายจาตุรนต์ ฉายแสง มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทยในช่วงการเปลี่ยนผ่านมากที่สุด (ใบตองแห้งไม่เห็นด้วย) เนื่องจากพรรคเพื่อไทยกำลังถูกมองว่าไม่ได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างที่ผ่านมา กำลังกลายเป็นอนุรักษนิยมเก่า ซึ่งภาพของนายจาตุรนต์ยังดูดีอยู่ น่าจะช่วยประคองพรรคเพื่อไทยไปได้ แต่ใบตองแห้งแย้งว่า “คุณจาตุรนต์จะยิ่งตาย”
สำหรับการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทย มีการลงความเห็นว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากขาดแคลนคนรุ่นใหม่ที่มีสติ เข้าใจเหตุผลและหลักอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวยให้พรรคเปลี่ยนแปลง ทำให้พรรคเพื่อไทยแข่งขันกับก้าวไกลได้ยากในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทำได้เพียงแต่หวังว่าพรรคก้าวไกลจะอ่อนแอลงไปเอง
อย่างไรก็ดี เอี่ยว-ประทีปกล่าวว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลก็จะยังมา และจะมามากกว่าเดิม เพราะคนในสังคมจดจำเรื่องราว การโกหก ตระบัดสัตย์ของนักการเมืองมากกว่าเดิม ต่อให้พรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จในเรื่องเศรษฐกิจ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะก้าวไกลอยู่ดี