
จีนเตรียมแซงญี่ปุ่น ขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในปี 2566 โดยไทยเป็นตลาดเป้าหมายอันดับ 2 ของรถจีน
จีนจ่อแซงหน้าญี่ปุ่น ขึ้นแท่นผู่ส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของโลกในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุปสงค์พิเศษจากรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร
ผู้ผลิตรถยนต์จีนส่งออกรถยนต์ 3.92 ล้านคันในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ เทียบกับ 3.59 ล้านคันที่จัดส่งจากญี่ปุ่น
สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีนเผยเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ว่า ยอดการส่งออกรถยนต์ในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 480,000 คัน ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในปีนี้รองจากเดือนตุลาคม แม้ว่าสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งญี่ปุ่นจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขการส่งออกในเดือนพฤศจิกายน แต่มีแนวโน้มว่าจีนจะยังคงรั้งอันดับ 1 ในแง่ของยอดขายในปีนี้
ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ จีนได้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 1 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของยอดส่งออกรถยนต์โดยรวม และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณร้อยละ 90 ขณะเดียวกัน การส่งออกรถยนต์รุ่นที่ใช้น้ำมันเบนซินไปยังประเทศกำลังพัฒนาก็เพิ่มขึ้นในปีนี้เช่นกัน
ระหว่างเดือน ม.ค. – ต.ค. ยอดส่งออกรถยนต์จีนไปยังรัสเซียแตะระดับ 750,000 คัน เพิ่มจาก 160,000 คันในปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ผลิตในญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรปถอนตัวออกจากตลาดรัสเซียหลังจากที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครน
บริษัทญี่ปุ่นซึ่งกำลังไล่ตามตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงทั่วโลกจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนที่ไม่เพียงแต่ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศอื่นๆ
ที่ผ่านมา บริษัทญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อาวุโสในอุตสาหกรรมระบุว่า ผู้ผลิตรถยนต์จีนที่กำลังรุกเข้าสู่ภูมิภาคนี้ด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อฐานที่มั่นของผู้เล่นญี่ปุ่น
บริษัทญี่ปุ่นบางแห่งกำลังประสบปัญหาในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าครองสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผลิตในจีน
มาร์คัส เบอร์เร็ต หุ้นส่วนอาวุโสและผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของ Roland Berger บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและบริการในเยอรมนี ประมาณการว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็นสัดส่วน 45 – 50% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกภายในปี 2573
พร้อมกับระบุว่า บริษัทญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำในด้านรถยนต์ไฮบริดที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้า จำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า