‘เสี่ยงถูกลดเครดิต’ ผู้ว่าแบงก์ชาติออกโรงเตือนรัฐบาล ชี้เงินทุนไหลออกและหนี้ครัวเรือนสูง ควรมุ่งลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้

 30 ต.ค. 66 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า เศรษฐกิจโลกในปี 67 จะฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง ขยายตัวได้เพียง 3% ในระยะปานกลาง ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี

โดยปัจจัยความเสี่ยงมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ห่วงโซ่อุปทาน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ประเมินได้ยากกว่าที่ผ่านมา เพราะมองผลกระทบไม่ออก คาดเดาไม่ได้

IMF แนะนำว่าแต่ละประเทศ ควรมุ่งเน้นทำนโยบาย ดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบ เพื่อป้องกันการเกิด Inflation Shock อันเนื่องมาจากสงคราม จนภาวะเงินเฟ้อพุ่งกลับมา ควรมีการสร้างกันชนทางการคลัง ควรมุ่งเน้นลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เร่งปรับหนี้สาธารณะให้ลดลง เพื่อเตรียมรับมือ shock ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมกับดูแลเสถียรภาพด้านการเงินไปด้วย และมุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว

ในส่วนของไทย แม้เสถียรภาพโดยรวมจะโอเค แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้ ที่ต้องระมัดระวัง คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 90.7% ต่อจีดีพี และหนี้สาธารณะในระดับ 61.7% ต่อจีดีพี ที่ถือว่าสูง ในขณะที่นับแต่ต้นปีมีเงินทุนไหลออกกว่า 8.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ -8.4% ผ่านตลาดหุ้นและพันธบัตร สวนทางกับประเทศอื่น สูงสุดในรอบ 10 

ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนก็มีความผันผวน 8-9% สูงกว่าอดีตและประเทศเพื่อนบ้าน เป็นรองแค่ประเทศเกาหลีใต้ที่ผันผวน 12%

นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่ Credit Rating Agency จะพิจารณาปรับมุมมองจากเสถียรภาพ เป็นมุมมองเชิงลบ (Negative) หากนโยบายภาคการคลังมีความเสื่อม ดังนั้นควรมุ่งลดรายจ่าย ทยอยปรับลดการขาดดุล ปรับลดหนี้สาธารณะ มีมาตรการเพิ่มรายได้ ซึ่งล่าสุดมีบางบริษัทให้ความกังวลภาระหนี้ต่องบประมาณ ไม่เกิน 12% ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในระดับ 10% กว่า

“จะบอกว่าเราไม่แคร์เลยก็คงไม่เหมาะ หากมองว่าความเสี่ยงเยอะ ก็ควรต้องเก็บลูกกระสุนไว้หรือเปล่า ซึ่งพื้นที่ในการทำนโยบาย (Policy Space) เราจะไม่เห็นความสำคัญของมัน จนกว่าจะหมด หรือมันไม่มี” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว