
AI อาจแทนที่มนุษย์โดยสมบูรณ์ โดยเข้ามาช่วยตัดสินใจในห่วงโซ่อุปทาน ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตและขนส่ง
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีแนวโน้มที่จะเขย่าอุตสาหกรรมการขนส่ง ด้วยการเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และลดตำแหน่งงานของมนุษย์ นักวิเคราะห์ กล่าว
หุ่นยนต์ส่งของที่วิ่งบนทางเท้า (Sidewalk robots), รถบรรทุกไร้คนขับ, แชทบอท และปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาให้สามารถคาดการณ์การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน หรืออธิบายถึงสาเหตุการคาดการณ์การขายที่ผิดพลาด
“AI อาจมาแทนที่งานของมนุษย์ในห่วงโซ่อุปทานได้ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด รวมถึงงานในส่วนของ ‘back office’” Ravi Shanker นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุในบันทึกการวิจัยเมื่อเดือนที่แล้ว
“อุตสาหกรรมการขนส่งสินค้ากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งขับเคลื่อนโดย ‘Disruptive Technology’ หรือเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน ซึ่งรวมถึง รถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีบล็อกเชน และโดรน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI เป็นหนึ่งใน ‘Disruptive Technology’ ล่าสุดและอาจทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน” Ravi Shanker กล่าว
ตัวอย่างเช่น ธนาคารได้คาดการณ์ไว้ว่า รถบรรทุกไร้คนขับหลายร้อยคันจะเริ่มดำเนินการในสหรัฐฯ ในปี 2567 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนต่อไมล์ลงราว 25% ถึง 30% และในที่สุดก็จะมาแทนที่พนักงานขับรถโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้คาดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเกิน 3 ปี
ห่วงโซ่อุปทานมักมีความยาวและมีหลายแง่มุม บริษัทอาจสั่งซื้อชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในส่วนต่างๆ ของโลก ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านั้นจะถูกส่งไปยังโรงงานประกอบส่วนกลางก่อนที่จะกระจายสินค้าไปยังลูกค้าทั่วโลก
การผลิตและการขนส่งสินค้าซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนอยู่แล้ว ต้องหยุดชะงักจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนส่วนประกอบ เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ และการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่ง ฯลฯ ความซับซ้อนนั้นหมายความว่าบริษัทต่างๆ มักจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผลิตภัณฑ์ของตนตั้งแต่ขั้นตอนหนึ่งไปจนถึงอีกขั้นตอนหนึ่ง
“นี่คือจุดที่ AI และการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) จะเข้ามาช่วย ด้วยการคาดการณ์ความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น” นักวิเคราะห์กล่าว พร้อมเสริมว่าระบบ AI/ML อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์การหยุดชะงักโดยสิ้นเชิงได้ด้วย
นี่เป็นประเด็นที่นักวิเคราะห์จากบริษัทการลงทุน Jefferies ซึ่งได้คาดการณ์ไว้หลายครั้งเกี่ยวกับผลกระทบที่ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์จะมีต่ออุตสาหกรรมการขนส่งและลอจิสติกส์ ซึ่งรวมถึงการคาดการณ์ความต้องการ การคาดการณ์การบำรุงรักษารถบรรทุกในช่วงเวลาที่เหมาะสม การหาเส้นทางการขนส่งที่เหมาะสมที่สุด และการติดตามการจัดส่งแบบเรียลไทม์ หยิบยกขึ้นมากล่าวถึง
“ปัญหาการขาดแคลนคนขับรถบรรทุก กระแสน้ำวนขั้วโลกทำให้การค้าระหว่างรัฐหยุดชะงัก และการขาดแคลนอาหารทารกบนชั้นวางในห้างร้านจะหมดไป ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์มาใช้ในพื้นที่การขนส่งและโลจิสติกส์”
Navneet Kapoor หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและข้อมูลของ ‘Maersk’ ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งทางเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะเป็นส่วนสำคัญของบริษัทที่ขาดไม่ได้
“AI และการเรียนรู้ของเครื่อง มีมานานแล้ว… ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีดังกล่าวได้เปลี่ยนจากการเป็นโครงการวิจัยที่น่าสนใจไปสู่โครงการที่ ‘เป็นจริง‘ มากขึ้นภายในบริษัท และตอนนี้ ด้วยการกำเนิดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์… เรามีโอกาสในการทำให้ AI กลายเป็นกระแสหลัก”
Maersk ใช้ AI มาหลายปีแล้ว และตอนนี้กำลังดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อรวม AI เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจและหน้าที่ต่างๆ ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น โดยหนึ่งนั้นได้แก่การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาช่วยลูกค้าเรื่องการวางแผน
“ปัจจุบัน เราใช้ AI ในการคาดการณ์วันที่สินค้าจะมาถึง เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางแผนห่วงโซ่อุปทาน สินค้าคงคลังได้ดีขึ้น และช่วยลูกค้าลดต้นทุน ซึ่งยังเป็นการปรับปรุงความน่าเชื่อถือเรื่องกำหนดเวลาการขนส่งที่แน่นอนของบริษัทด้วย” Kapoor กล่าว
นอกจากนี้ Maersk ยังต้องการใช้ AI เพื่อแนะนำวิธีแก้ปัญหาเมื่อเส้นทางขนส่งคับคั่ง โดยให้คำแนะนำว่าสินค้าควรถูกขนส่งออกไปเลย หรือให้รอไปก่อน เป็นต้น
Kapoor ยังกล่าวด้วยว่า บริษัทยังต้องการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ประเภทหนึ่งที่เรียกว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งจะเรียนรู้วิธีจดจำ สรุป และสร้างข้อความและเนื้อหาประเภทอื่นๆ จากข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อให้เข้าใจกระบวนการขายได้ดีขึ้น
“คุณสามารถดูธุรกรรมทั้งหมดที่ลูกค้าทำกับคุณในปีที่แล้ว คุณสามารถหาสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมคุณถึงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในธุรกิจบางประเภท” Kapoor กล่าว
“ในความคิดของผม Generative AI คือ การหยุดชะงักที่จะต้องเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิต… ดังนั้นจะมีการสูญเสียงานในสภาพแวดล้อมแบบดั้งเดิม แต่ผมยังเชื่อว่ามันจะสร้างงานใหม่เหมือนการหยุดชะงักของเทคโนโลยีทุกครั้งที่ผ่านมา” Kapoor กล่าว โดยเสริมว่า ตำแหน่งต่างๆ เช่น ‘prompt engineers’ หรือวิศวกรที่คุยสื่อสารกับ AI ผ่านการเขียนข้อความ หรือชุดคำสั่งที่เรียกว่า ‘Prompt’ มีแนวโน้มที่จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น