เมื่อนักกิจกรรมกลับกลายเป็น นักคุกคามทางเพศ ความผิดที่เกินอภัยในฐานะนักเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพ
การคุกคามทางเพศ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนาและยอมรับได้ในสังคม และหากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในหมู่นักกิจกรรมทางการเมืองก็จะทำให้ข้อเรียกร้องที่ตนต้องการเรียกร้องมีความน่าเชื่อถือลดลงในสายตาสังคมภายนอก และหากยิ่งเกิดขึ้นกับกลุ่มนักกิจกรรมที่มีข้อเรียกร้องสนับสนุนสิทธิทางเพศและสิทธิประชาธิปไตย ก็จะยิ่งทำให้ข้อเรียกร้องดูเหมือนการ “ถ่มน้ำลายรดฟ้า” และเข้าตนเองเต็ม ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ซึ่งการคุกคามทางเพศเหล่านี้สามารถพบได้อย่างแพร่หลายแต่การคุกคามทางเพศจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านประชาธิปไตยบ้าง ด้านความหลากหลายทางสังคมบ้าง ด้านสิทธิทางเพศบ้าง เป็นอะไรที่ทำลายความน่าเชื่อถือของข้อเรียกร้องที่ตนได้ร่วมเรียกร้องรวมทั้งกรอบของข้อเรียกร้องที่บุคคลอื่น ๆ ที่มีความคิดคล้ายคลึงได้เรียกร้องไว้อย่างรุนแรง และทำให้เป็นจุดอ่อนสำคัญของการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่ว่าจะเรียกร้องอะไรก็จะมีความน่าเชื่อถือที่ต่ำ เพราะมีเรื่องการคุกคามทางเพศติดตัวอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ทั้งนี้การคุกคามทางเพศเหล่านี้บางครั้งที่ถูกมองจากสังคมภายนอกว่า เป็นการต่อรองผลประโยชน์ของตัวนักเคลื่อนไหวเสียเอง เพราะ การแฉพฤติกรรมเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงทำให้การมองเหตุการณ์การคุกคามทางเพศจึงต้องมองอย่างรอบด้านและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะเหตุการณ์เหล่านี้อาจมีเหตุผลซ่อนเร้นบางข้อแฝงอยู่โดยเฉพาะในเรื่องการเรียกร้องผลประโยชน์กันและกันในขบวนการเรียกร้องทางการเมือง
นอกจากนี้กรณีของการคุกคามทางเพศในหมู่ของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองกันเองนั้นไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนักจากสื่อกระแสหลักและไม่ค่อยอยากเป็นที่กล่าวถึงมากนักจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มองว่า ขบวนการเรียกร้องจะเสียศูนย์ไปหรือจะโดนโจมตีจากผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองของตนในเรื่องประเด็นการคุกคามทางเพศ ทั้งที่การเปิดเผยเรื่องการคุกคามทางเพศจากทั้งฝั่งชายและหญิงจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นในการที่จะรักษาซึ่งความน่าเชื่อถือของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในหนทางและวิถีคิดที่ได้เคลื่อนไหวไว้
การจะมาปิดเรื่องและไม่แก้ปัญหานี้อย่างจริงจังจึงเหมือนเป็นการเอาอาวุธของตนมาทำร้ายตนเองและเป็นการประชดข้อเรียกร้องของตนเองด้วยการกระทำหรือปกปิดการกระทำที่ขัดแย้งกับข้อเรียกร้องของตนอย่างชัดเจนและเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของคุณค่าประชาธิปไตยจากรากฐานสำคัญคือ การเคารพสิทธิของผู้อื่น หรือ ภราดรภาพ ในหมู่ของขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนเสียเองแทนที่จะเป็นแบบอย่างของกลุ่มคนที่ยอมรับค่านิยมแบบเสรีประชาธิปไตย ไม่ต้องไปถึงการเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมอย่างที่ทำกันอยู่ เพราะพื้นฐานยังมองข้ามกันอยู่เลย
ทั้งหมดนี้จึงเป็นข้อสงสัยของสังคมว่า “ทำไมจึงเกิดการล่วงละเมิดทางเพศอยู่บ่อยครั้งในหมู่ของนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายทั้งที่มีการรณรงค์และเรียกร้องเรื่องสิทธิและเสรีภาพอยู่บ่อยครั้ง และอะไรที่ทำให้การล่วงละเมิดทางเพศยังปรากฎอยู่ซ้ำซากและอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตข้างหน้า” และข้อสงสัยเหล่านี้ก็ยังรอคอยคำตอบที่ชัดเจนตราบที่ยังมีการเคลื่อนไหวของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่เรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด