สังคมไทย และบริษัทน้ำมัน จะได้อะไรจากยานยนต์ไฟฟ้า
ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวเพื่อการต่อสู้เรื่องโลกร้อนที่เป็นโฟกัสหลัก ๆ ของทุกประเทศทั่วโลกยามนี้ หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่นับได้ว่าเป็นปัจจัยหลักประการหนึ่งที่อาจเทียบได้กับเสาหลักของการเริ่มต้นปกป้องโลก คือการขยับของอุตสาหกรรมยานยนต์ จากการเน้นใช้พลังงานสันดาป ไปสู่การพัฒนาและผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งก็ไม่ใช่ว่า จะได้รับการสนับสนุนหรือมีโอกาสเติบโตเทียบเท่ากันในทุกประเทศ
แต่อาจนับเป็นความโชคดีประการหนึ่งของประเทศไทยสำหรับการมีรัฐบาลที่ให้ความสนใจในการพัฒนาการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังมีกลุ่มบริษัทพลังงานที่ให้ความสนใจ ร่วมมือกับภาครัฐในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เข้าสู่สังคมการขับขี่ยานยนต์ไฟฟ้า และระบบการขนส่งอย่างยั่งยืน (Sustainable Transportation) สถานีบริการน้ำมันหลายแห่งในประเทศไทย กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า
แม้ว่าดูเผิน ๆ จะเหมือนว่า กลุ่มบริษัทน้ำมันอย่าง ปตท. หรือบางจากต้องสูญเสียรายได้จากการขายน้ำมันให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ลง แต่สิ่งที่บริษัทน้ำมันจะได้ประโยชน์ มาจากชนิดของน้ำมันที่จะจัดจำหน่ายนั้นจะลดลง จากเดิมที่ต้องผลิตน้ำมันเบนซิน, 91, 95, E20 และดีเซล B20, B10, B7 และ B7 พรีเมียม จะลดลงเหลือเพียงไม่กี่ชนิด ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ อีกทั้งช่วยให้สามารถลดต้นทุนการขนส่ง และลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดลงได้ นั่นเอง
ที่สำคัญคือการควบคุมมลพิษจากภาคการผลิตของบริษัท ที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับแนวโน้มของนโยบายภาครัฐ ที่จะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าภาคเอกชนอย่าง ปตท. จะมีโอกาสที่น้อยลงสำหรับการขายน้ำมัน ทว่า นี่คือข้อดีของการเป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะบริษัทเองก็มีอิสระเพียงพอที่จะขยับขยายไปสู่การลงทุนใหม่ ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเพียงแค่น้ำมันเพียงอย่างเดียว อย่างที่ใคร ๆ หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ จนนำไปสู่พอร์ตการเติบโตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งจากการเปลี่ยนเป้าหมายการทำธุรกิจที่สำคัญและการลงทุนโดยเฉพาะส่วนการลงทุนนอกประเทศ
ถือเป็น Win-Win Situation โดยบริษัทน้ำมันจะต้องปรับตัว เพื่อพัฒนาองค์กรของตัวเอง ในขณะที่ประชาชนจะได้อากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นจากการลดลงของมลพิษ
ที่สำคัญ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในปัจจุบัน เป็นกระแสใหม่ของโลก และเป็นธุรกิจที่ทำเงิน สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ผ่านการสนับสนุนส่งเสริมจากองค์กรสหประชาชาติ, กลุ่มธุรกิจและธนาคารระหว่างประเทศ และรวมไปถึงรัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศ รวมไปถึงรัฐบาลไทย อีกทั้งยังได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนในประเทศที่เจริญแล้วอย่างมาก
ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ที่บริษัทน้ำมันในประเทศไทย จะลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งนี่ไม่เพียงเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสใหม่ของโลก เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ
ที่สำคัญ แนวคิดในการดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ ไม่ได้คำนึงถึงเพียงแค่ผลกำไรขาดทุน แต่คิดคำนึงถึงสิ่งที่สังคมจะได้รับจากการดำเนินธุรกิจของตนเอง มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา
หากสังคมไม่น่าอยู่ สิ่งแวดล้อมก็ย่ำแย่ ธุรกิจก็มิอาจจะคงอยู่ได้ การมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมจึงเป็นกระแสใหม่ในการดำเนินธุรกิจนั่นเอง
โดย ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
# TheStructureArticle
#คนไทย #ยานยนต์ไฟฟ้า #PTT
เข้าใจความเสื่อมถอยของระบอบประชาธิปไตย ผ่านมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
การพัฒนาเมือง และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเข้าสู่สังคมสูงวัย และสังคมที่เป็นมิตรต่อผู้พิการ
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม