ขบวนการจัดฉากล่อให้กระทำความผิดแบบแก๊งหมอปลา ระวัง!!! เหยื่อต่อไปอาจเป็นคุณ! ความแตกต่างระหว่าง ‘ล่อซื้อ’ กับ ‘ล่อให้กระทำความผิด’ ที่ทุกคนต้องรู้!
กลายเป็นประเด็นให้เป็นที่โจษจันกันทั่วบ้านเมือง เป็นอีกครั้งที่สื่อและอินฟลูเอนเซอร์สุดเสื่อม หรือแม้กระทั่งทนายความหิวแสง ก็กระโดดมาร่วมวงกับเขาด้วย
แต่คราวนี้เหยื่อของพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาเพราะเป็นถึงพระสงฆ์ชื่อดัง ตัวแทนของศาสนา อันเป็น 3 สามเสาหลักของชาติไทย คู่กับ ชาติและกษัตริย์ นามว่า หลวงปู่เเสง ญาณวโร อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
ผู้ร่วมก่อการคราวนี้นำโดยหมอปลาหรือนายจีรพันธ์ เพชรขาว , นางสาว รภัสรณ์ ฤทธิธนไพบูลย์ หรือ น้ำฟ้า , ทนายไพศาล , เบลล์ ขอบสนาม และกันจอมพลัง รวมถึง คุณวาสนา นักข่าว ร่วมกับเพื่อนสื่อมวลชนช่องอื่นๆ รวม 5 ช่อง
ทั้งหมดได้ร่วมกันเป็นขบวนการออกมาเล่นบทเป็นเจ้าหน้าที่นอกกฎหมาย ทำการลงพื้นที่สอบสวนเป้าหมาย จัดฉาก ‘ล่อให้กระทำความผิด’ ด้วยความเข้าใจผิดว่า นี่คือ ‘การล่อซื้อ’ แบบที่ตำรวจทั่วไปทำกัน
โดยให้นักข่าวปลอมตัวเป็นคนป่วย หลอกพระว่าเป็นมะเร็งที่เต้านมสองข้าง แล้วเอาตัวเข้าไปให้จับนม เพื่อถ่ายทำคลิปเป็นหลักฐาน [1] หวังว่าจะใช้เป็นหลักฐานในการทำข่าวว่าพระอาบัติและจับสึกพระท่านนี้ พร้อมเล่นบทเป็น ‘ฮีโร่’ ปราบอธรรม มารศาสนา
ทั้งนี้ก็ลืมไปเสียสนิทว่าหลักธรรม ‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง’ นั้นเป็นของจริง แถมในยุค5G แบบนี้ กรรมก็ตามทันแบบติดจรวดด้วย เพราะผ่านไปแเดียว ความจริงก็ปรากฏและแก๊งนี้ก็ถูกสังคมลงโทษ บ้างถูกไล่ออก บ้างห้ามร่วมงาน บ้างกำลังถูกดำเนินคดีมรรยาททนายความ เป็นมารศาสนาเสียเอง
เมื่ออยากหาแสงแรงๆนัก ก็ย่อมถูกแสงแผดเผา ดั่ง อิคารัส (Icarus) ที่ถูกแสงเผาปีกจนตกทะเลตายในที่สุด
ผู้ร้ายอาจถูกเปิดโปงแล้ว แต่อย่าพึ่งดีใจไป เพราะวิธีล่อให้กระทำผิด แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกและนี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน เหยื่อคนต่อไปในขบวนการนี้อาจเป็น คุณ หรือคนที่คุณรัก
เราขอถือโอกาสนี้ใช้เหตุการณ์นี้แสดงให้ดูว่า การล่อซื้อ แบบถูกต้อง กับ การล่อให้กระทำความผิด เช่นเหตุการณ์นี้ มันต่างกันและมีผลทางกฎหมายอย่างไร เพื่อที่ทุกท่านจะได้รู้และปกป้องตัวเองจากเหล่ามิจฉาชีพหรือเจ้าหน้าที่กังฉิน ที่ชอบสร้างหลักฐานปลอมเพื่อหลอกเอาเปรียบผู้บริสุทธิ์ได้
ความหมายของการ ล่อซื้อ VS ล่อให้กระทำความผิด
การกระทำสองแบบนี้อาจดูคล้ายกันตรงที่เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการหาแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อเอามาเป็นหลักฐานในการกระทำความผิดของเป้าหมาย ไม่ว่าจะกระทำโดยเจ้าหน้าที่ หรือโดยเอกชนเอง แต่ผลของมันในทางกฎหมายต่างกันมาก เพราะแบบแรกนั้นถือว่าชอบด้วยกฎหมายรับฟังได้ ส่วนแบบหลังนั้น นอกจากรับฟังไม่ได้ ผู้ล่ออาจมีความผิดด้วย
แต่ก่อนที่จะเข้าใจได้ว่าแตกต่างกันยังไง ต้องขออธิบายถึง หลักการรับฟังหรืออ้างพยานหลักฐานในคดีอาญาเสียก่อน เพราะในคดีความไม่ใช่ว่าพยานหลักฐานที่เราอ้างทุกชิ้น จะนำมาอ้างต่อศาลได้นะ มันมีกฎเกณฑ์อยู่เรียกว่า บทตัดพยานหลักฐาน (Exclusionary Rule) ซึ่งปรากฏใน [2]
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 วางหลักให้
“พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่า จะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น…”
จะเห็นได้ว่าพยานหลักฐานที่ได้มานั้นต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น มิฉะนั้น จะไม่สามารถนำมาอ้างในคดีได้ แล้วแบบไหนอ้างได้ อันนี้ก็ต้องดูเอาว่าตอนรวบรวมพยานหลักฐานนั้นใช้วิธีอะไร โดยที่ผ่านมากฎหมายไทยยอมรับแค่การล่อซื้อเท่านั้น
การล่อซื้อนั้นกล่าวคือต้องเป็นการล่อซื้อบุคคลที่มีเจตนากระทำผิดอยู่ก่อนแล้วถึงแม้จะใช้คำว่าล่อซื้อ แต่ความจริง ไม่จำต้องเป็นการไปซื้อของก็ได้ ความหมายที่แท้จริงคือ การที่แอบอำพรางตัวเข้าไปติดต่อกับผู้ที่น่าจะกระทำผิดแล้วเปิดโอกาสให้พวกเขากระทำผิดเพื่อให้สามารถนำการทำผิดนั้นไปใช้เป็นพยานหลักฐานมัดตัวหรือจับกุม [3]
ผลคือพยานหลักฐานจากการกระทำผิดนั้นสามารถนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าตัวจำเลยมีความผิดได้ ตามมาตรา 226
ส่วนการล่อให้กระทำผิด คือการล่อซื้อบุคคลที่ไม่มีเจตนากระทำผิดอยู่ก่อน แต่การล่อซื้อนั้นไปก่อ ล่อ หรือชักจูงให้คนบริสุทธิ์กระทำความผิดอาญา จะถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ ตามมาตรา 226 ไม่อาจนำมาอ้างได้ [4]
แถมนอกจากจะอ้างไม่ได้แล้วเนี่ย หากผู้ก่อให้กระทำผิดนั้นเป็นผู้เสียหาย ก็ถือว่าไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายด้วย ทำให้ไปฟ้องเขาไม่ได้เลย ดังนั้นหากใครเจอพวกนี้ทำแบบนี้กับท่านเพื่อขู่เอาค่าเสียหายแลกกับการไม่ฟ้อง บอกเลยว่าไม่ต้องให้เพราะพวกเขาฟ้องไม่ได้อยู่แล้ว
ส่วนตัวอย่างว่าการกระทำแบบไหนที่ถือว่าเป็นล่อซื้อ หรือ ล่อให้กระทำความผิด ศาลได้มีคำพิพากษาไว้มากมาย เช่น
กรณี เป็นการล่อซื้อ
คำพิพากษาฎีกาที่ 412/2545 จำเลยมีพฤติการณ์กระทำละเมิดลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว โจทก์ส่งสายลับไปล่อซื้อและจับกุมจำเลยมาดำเนินคดี มิใช่เป็นการก่อให้จำเลยกระทำความผิด แต่เป็นการดำเนินการเพื่อจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิด เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาที่ 8187/2543 ตำรวจใช้สายลับนำเงินไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยซึ่งมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอยู่แล้ว เป็นวิธีการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำผิดของจำเลยที่ได้กระทำอยู่แล้ว มิได้ล่อหรือชักจูงให้กระทำความผิดอาญาที่จำเลยไม่ได้กระทำมาก่อน
กรณีที่ไม่เป็นการล่อซื้อ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาที่ 4301/2543 การทำซ้ำ บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของโจทก์ลงในแผ่นบันทึกข้อมูลถาวรของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ล่อซื้อและแจกจ่ายตามฟ้องนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากการล่อซื้อของ ส. ซึ่งได้รับจ้างให้ล่อซื้อจากโจทก์ เท่ากับโจทก์เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดดังกล่าวขึ้น
ฎีกาที่ 2491/2551 ตำรวจขอซื้อยาลดความอ้วนซึ่งมีส่วนผสมของเฟตเตอมีนจากจำเลย จำเลยบอกว่าไม่มีและที่ร้านก็ไม่ได้ยาดังกล่าว แต่ตำรวจอ้างว่าคนรักตนต้องการใช้ จำเลยจึงไปเอาที่ซื้อไว้ใช้เองมาขาย โดยที่ภายหลังพบว่าจำเลยก็ไม่ได้ขายสิ่งผิดกฎหมายอื่นแต่อย่างใด การขายยาดังกล่าวจึงเป็นการถูกล่อให้กระทำความผิด พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นจึงเกิดขึ้นโดยมิชอบ ใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามมาตรา 226
สรุป จะเห็นได้ว่าหากไม่ใช่การล่อซื้อที่ได้อธิบายไว้ ก็จะถือว่าเป็นการล่อให้กระทำผิด จัดฉากเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้แล้ว หากผู้เสียหายเป็นเอกชนก็จะฟ้องให้ดำเนินคดีไม่ได้ด้วย แถมบางครั้งก็อาจทำผิดกฎหมายซะเอง เช่นเหตุการณ์ของขบวนการหมอปลา
หลังจากอ่านแล้วและทราบความแตกต่างของการล่อซื้อและการจัดฉากล่อให้กระทำผิดแล้ว ก็หวังว่าหากมีมิจฉาชีพมาทำเป็นขบวนการกับคุณบ้าง ก็ภาวนาขอให้ทุกคนมีสติ ก็จะรู้เท่าทันและจัดการได้ อย่าปล่อยให้คนพาลมันได้ใจข่มเหงรังแกประชาชนผู้บริสุทธิ์แบบนี้
โดย ณฐ /na-tha/
อ้างอิง :
[1] https://www.thaipost.net/x-cite-news/142027/
[2] วารสารสหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม 2563)
[3] ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (ม.ป.ป.). โครงการศึกษาวิจัย “กฎหมายเกี่ยวกับการล่อให้กระทำความผิดอาญา : ศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายนานาชาติ. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
[4] เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์. (2551). คำอธิบายกฎหมายอาญาภาค 1 : บทบัญญัติทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ:พลสยาม พริ้นติ้ง (ประเทศไทย).
ข่าวดีประเทศไทยหลากหลายด้าน และอาคมกับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังโลก รวมถึงการอภิปรายที่น่าสนใจของก้าวไกล
วันที่กลุ่มความหลายหลายทางเพศ ถูกตีตรา ‘อาชญากรรมของรัฐ’ โดยผู้ปกครองคอมมิวนิสต์รัสเซีย
จากจอมพล ป. สู่ พรรคเพื่อไทย ปลุกกระแส ‘ชาตินิยม’ กับคำขวัญ “ไทยทำ ไทยใช้ (ไทยฉลาด) ไทยเจริญ”
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม