เปิด 4 ธุรกิจ WHA ปี 2567 โลจิสติกส์-นิคมอุตสาหกรรม-สาธารณูปโภคและไฟฟ้า และดิจิทัลโซลูชัน พร้อมเป็นบริษัทเทคโนโลยีเต็มตัว

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2567 ไกรลักขณ์ อัศวฉัตรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยถึงเป้าหมายของบริษัทที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีอย่างเต็มตัวในปี 2567 ด้วยศักยภาพจากการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ครบวงจรและแข็งแกร่ง

ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม และการหานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน คว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปในทิศทางที่สอดคล้องกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

และด้วยศักยภาพจากการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ครบวงจรและแข็งแกร่งของเรา ล้วนมีส่วนช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายภายใต้พันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการสร้างคน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้  WHA มีการดำเนินธุรกิจหลัก 4 กลุ่มประกอบด้วย

1 กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจเริ่มต้นของ WHA นั้นได้มีการดำเนินโครงการ Green Logistics โดยนำเทคโนโลยีสีเขียวมาปรับใช้กับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์  เช่น การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการขนส่งสินค้า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการดำเนินงานของยานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศในระยะยาว

2 กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมคุณภาพระดับโลก ด้วยโครงสร้างพื้นฐาน และบริการสาธารณูปโภคครบวงจร ในปัจจุบัน WHA มีนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 13 แห่งบนพื้นที่กว่า 71,300 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนามขายโครงการไปแล้วเกิน 80% และยังอยู่ในขั้นพัฒนาอีก 2 โปรเจกต์

ทั้งนี้ บริษัทกำลังพัฒนาอีก 5 โปรเจกต์ โดยคาดจะใช้เวลาในการพัฒนา 2-3 ปี ซึ่งการพัฒนาจะใช้คอนเซปต์คลัสเตอร์ เพราะการผลิตที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด ซัพพลายเชนจะต้องอยู่ใกล้กันเพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกัน

โดยการก่อตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมีในโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีบทบาทสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพและการบูรณาการด้านการส่งเสริมการลงทุนอันโดดเด่นของประเทศไทย และด้วยมาตรฐานการจัดการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่

3 กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้า บริษัทเน้นการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อรองรับลูกค้าทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ โดยในปัจจุบันได้มีการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำของบ่อเก็บน้ำดิบ (Floating Solar) มีกำลังผลิตไฟฟ้าขนาด 8 เมกะวัตต์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี 

ติดตั้งภายในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) โดยการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (AAT) แล้วและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 นี้ 

อีกทั้งยังมีโครงการ Solar Carpark บนหลังคาที่จอดรถขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) โดยมีพื้นที่หลังคารวมกว่า 5.9 หมื่นตารางเมตร มีกำลังผลิต 7.7 เมกกะวัตต์ พร้อมขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในปี 2567 

และ Solar Rooftop ที่ บริษัท ปริงซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้า 24.24 เมกะวัตต์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 18,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

4 กลุ่มดิจิทัล โซลูชัน นั้นมีศูนย์ควบคุมส่วนกลาง หรือ UOC ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ ถนนเทพรัตน สมุทรปราการ ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระบบกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัย ระบบควบคุมการจราจร และศูนย์ควบคุมระบบน้ำและระบบบําบัดน้ำเสีย

เป็นไฮไลต์ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของ WHA เป็นการบูรณาการข้อมูลที่จะแสดงข้อมูลในพื้นที่ปฏิบัติงานต่างๆ ของกลุ่มบริษัท แสดงผลการตรวจสอบแบบเรียลไทม์

อีกทั้งยังมีการนำกระบวนการ “Reverse Osmosis (RO)” มาประยุกต์ใช้ใน โรงงานผลิตน้ำระบบอาร์โอ เพื่อสร้างมาตรฐานการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะแบ่งน้ำออกเป็น 2 ประเภทคือ Permeate-น้ำที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการผลิตได้ และ Concentrate คือน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายในน้ำสูง ซึ่งไม่สามารถใช้ในกระบวนการผลิตได้ แต่สามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำดิบ หรือนำมาใช้ล้างพื้นทำความสะอาด หรือรดน้ำต้นไม้ได้

ทั้งนี้ นายไกรลักขณ์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 66 คาดว่าจะรายได้ทำ All time high จากการขยายตัวของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม และในปี 67 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง มีโอกาสที่จะทำ New High ได้อีกครั้ง