ไม่ป้องกันเหตุ ครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงในนิวยอร์ก ฟ้องบริษัทบิ๊กเทคยักษ์ใหญ่ระดับโลก ฐานล้มเหลวในการป้องกันเหตุ
ครอบครัวเหยื่อที่เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงในซูเปอร์มาร์เก็ตกลางนครนิวยอร์กเมื่อปีที่แล้ว รวมตัวกันยื่นฟ้อง Google, Amazon, Meta และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ต่อศาลฎีกานิวยอร์ก โดยอ้างว่าช่วยเปิดทางให้มือปืนเข้าถึง “โฆษณาชวนเชื่อ” จนทำให้เขากลายเป็นคนหัวรุนแรง
คำร้องระบุว่า เพย์ตัน เกนดรอน มือปืนวัย 18 ปี ได้รับแรงจูงใจให้ก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายผ่านโฆษณาชวนเชื่อของพวกเหยียดเชื้อชาติ พวกต่อต้านชาวยิว และพวกลัทธิคนผิวขาวสูงส่ง บนสื่อสังคมออนไลน์
พร้อมเสริมว่าพัฒนาการของความเป็นหัวรุนแรงของเขา เป็นผลมาจากการการดำเนินการแพลตฟอร์มที่คิดคำนึงถึงแต่รายได้จากการโฆษณา โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของสาธารณะ
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มือปืนให้การรับสารภาพในข้อหาฆาตกรรม อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง และการก่อการร้ายในประเทศ โดยยอมรับว่าการก่อเหตุของเขามีแรงจูงใจมาจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติ
ศาลเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา พิพากษาจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่รอลงอาญา นายเพย์ตัน เกนดรอน ในข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และก่อการร้ายด้วยแรงจูงใจจากความเกลียดชัง ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย และบาดเจ็บอีก 3 คน โดยในจำนวนเหยื่อทั้งหมด 11 คนเป็นคนผิวดำ
รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่พบแถลงการณ์ของเกนดรอนจำนวน 180 หน้า เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ซึ่งมีเนื้อหาสรุปความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับชาตินิยมผิวขาว ปัญหาผู้อพยพ และประเด็นทางการเมืองอื่นๆ หลายวันก่อนที่เขาจะก่อเหตุกราดยิง
แถลงการณ์ของเกนดรอนยังระบุว่า แนวคิดหัวรุนแรงของเขามีจุดเริ่มต้นมาจากตอนที่เขาเริ่มเข้าไปอ่านกระทู้ในเว็บบอร์ด 4chan ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาเหยียดผิว เหยียดเพศ และแนวคิดคลั่งคนขาว
ด้าน Google กล่าวแถลงการณ์ต่อสำนักข่าว ABC เกี่ยวกับประเด็นการฟ้องร้องดังกล่าวโดยระบุว่า “ทางบริษัทมีความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีที่น่าสยดสยอง” โดยยืนยันว่า YouTube ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอของตนได้ “ลงทุนในเทคโนโลยี ทีมงาน และนโยบายเพื่อ ระบุและลบเนื้อหาสุดโต่ง”