
‘อังกฤษ’ จาก “ดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” สู่ความเป็น “คนป่วยแห่งยุโรป” เพราะสวัสดิการสังคม ที่ไม่สมดุลกับรายได้ทางเศรษฐกิจ จนเป็นภาระ และความสำเร็จของการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบถอนรากถอนโคน
อังกฤษ หนึ่งในชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกและเคยมีฉายาว่า “ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” ซึ่งแทนที่ชาติจักรวรรดิที่แสดงพลังอำนาจอิทธิพลไปทั่วโลกทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม รวมทั้งเคยมีสถานะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่นี้
แต่สถานะผู้นำโลกก็เสื่อมถอยลง จากการผงาดของสหรัฐอเมริกา การค่อย ๆ สูญเสียพลังอำนาจจากสงครามใหญ่ทั้ง 2 ครั้ง และแนวคิดการปลดปล่อยอาณานิคมเป็นเอกราชที่แพร่หลายอย่างรวดเร็วหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนทำให้อังกฤษในยุคนั้นกลายเป็น “คนป่วยของยุโรป”
โดยการผงาดของสหรัฐอเมริกาได้ส่งสัญญาณมาตั้งช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในรูปแบบของอำนาจทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้ามาเป็นตัวแปรหลักที่สนับสนุนอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มตีคู่กับอังกฤษในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อังกฤษเริ่มประสบปัญหากับการควบคุมอาณานิคมให้อยู่ในความสงบและการจมเงินไปกับการบำรุงรักษาอาณานิคมที่มีอยู่มหาศาล
ขณะเดียวกันกระแสการเรียกร้องเอกราชในบรรดาดินแดนอาณานิคมส่วนใหญ่ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ภาพลักษณ์มหาอำนาจอังกฤษแทบสิ้นสภาพในทางการทหารและเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ด้วยนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่ไม่สนับสนุนแนวคิดอาณานิคมอยู่แล้ว จึงแทบเป็นการบีบให้อังกฤษที่ต้องพึ่งพิงสหรัฐอเมริกาในทางเศรษฐกิจ ทยอยเริ่มดำเนินนโยบายปลดปล่อยอาณานิคมให้เป็นรัฐเอกราช
และตัวเร่งสำคัญของการเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจของอังกฤษในช่วงขณะนั้น คือ การสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในตลาดโลก เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ผู้นำเศรษฐกิจโลกและผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ของอังกฤษ
รวมทั้งในเวลาต่อมา เยอรมันตะวันตกและญี่ปุ่นที่ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภัยสงครามก่อนหน้าก็ได้ขยายขีดความสามารถทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วผ่านการสนับสนุนทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์และทำให้ประเทศพันธมิตรสามารถพึ่งตนเองได้ จนอังกฤษเกือบจะหมดบทบาทในทางเศรษฐกิจโลก จากการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจที่เยอรมันตะวันตกและญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงกว่า
เพื่อให้มองเหตุการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน สินค้าสำคัญที่อังกฤษเคยมีบทบาทสำคัญ คือ รถยนต์ ซึ่งในเวลาต่อมา จะเจอคู่แข่งสำคัญคือ สหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้นำตลาดรถยนต์โลก และคู่แข่งที่เริ่มผงาดจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจ คือ เยอรมันตะวันตก ญี่ปุ่น และอิตาลี ที่ส่งออกรถยนต์ของตนเองเข้าสู่ตลาดโลกเป็นจำนวนมาก และต่อมาทั้ง 3 ประเทศจะมีสัดส่วนการขายรถยนต์ที่สูงกว่าอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งเหตุผลสำคัญของการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ มีทั้งการสูญเสียแหล่งทรัพยากรราคาถูกในรูปแบบของอาณานิคมซึ่งการได้อาณานิคมที่อุดมสมบูรณ์จะได้ทั้งแรงงาน ทรัพยากร และบริเวณที่ตั้งอันเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของอังกฤษก่อนหน้า การลงทุนไปกับอาณานิคมที่ใช้ทรัพยากรมหาศาลก่อนหน้าและได้ผลไม่คุ้มค่าในอาณานิคมหลายแห่ง
อีกทั้งการเข้ามามีอิทธิพลของแนวคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมในช่วงกลางสงครามเย็น ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ การเพิ่มสวัสดิการภาครัฐให้ครอบคลุมและแน่นหนา รวมทั้งการเพิ่มบทบาททางเศรษฐกิจของภาครัฐในประเทศเพื่ออุ้มอุตสาหกรรมและรักษาการจ้างงานจำนวนมากในประเทศ
ยังไม่รวมถึงความพยายามมากมายของรัฐบาลฝ่ายซ้ายอังกฤษช่วงนั้นที่ต้องการให้อุตสาหกรรมสำคัญของอังกฤษอยู่ในมือของภาครัฐซึ่งถูกกังขาจากสังคมอังกฤษบางส่วนในขณะนั้น ว่าเป็นแนวคิดของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์-สังคมนิยม โดยตรง
ผลที่ตามมา คือ เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันและวิกฤตชะงักงันครั้งใหญ่ช่วงกลางทศวรรษ 70 ก็ได้กลายเป็นฝันร้ายของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบแนวสังคมนิยมที่เต็มไปด้วยปากเหวของระบบเศรษฐกิจประเทศและการนับถอยหลังสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจ หากไม่ได้ปรับนโยบายทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ยังคงเหมือนเดิม
และประเทศทุนนิยมเสรีหลายประเทศที่ใช้แนวคิดรัฐแทรกแซงเศรษฐกิจก็ได้ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน คือ ปัญหาเงินเฟ้อในระดับสูงและภาระทางการเงินมหาศาลที่ต้องแบกรับ รวมทั้งขีดความสามารถทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลง จนทำให้เยอรมันตะวันตกและญี่ปุ่น ที่มีขีดความสามารถทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าและมีความคล่องตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในทางเศรษฐกิจโลก
ต่อมาจะนำไปสู่การคิดใหม่ทำใหม่ทางเศรษฐกิจ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากผู้ป่วยทางเศรษฐกิจของยุโรป สู่การหวนคืนตำแหน่งชาติอุตสาหกรรมและแหล่งการเงินสำคัญของโลกในเวลาต่อมา ภายใต้การนำของรัฐบาลใหม่ ช่วงทศวรรษ 80 ซึ่งมีนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจแบบถอนรากถอนโคน และให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว
จึงนำไปสู่ การนำแนวคิดเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจเข้ามาใช้อย่างเข้มข้นในอังกฤษเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บทางเศรษฐกิจที่อังกฤษต้องแบกรับมาอย่างยาวนาน โดยนโยบายที่อังกฤษได้เริ่มทำเพื่อปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจก็มีมากมาย
อาทิ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ที่เคยเป็นของรัฐให้เป็นของเอกชนเพื่อลดภาระภาครัฐและเพิ่มความคล่องตัวในระบบเศรษฐกิจ การตัดรายจ่ายของภาครัฐที่ไม่จำเป็นทุกอย่างเพื่อลดการขาดดุลภาครัฐและลดภาวะเงินเฟ้อ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินภายในประเทศ
รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกาที่ก็เป็นรัฐบาลเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจอยู่เช่นกันโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ หลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้ถดถอยลงในช่วงที่รัฐบาลฝ่ายซ้ายของอังกฤษมีบทบาททางการเมืองในช่วงขณะนั้น
แน่นอนว่า การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเช่นนั้น ย่อมส่งผลด้านลบในช่วงแรกอย่างรุนแรง ทั้งปัญหาการว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาความไม่สงบในประเทศที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนต้องมีการปราบปรามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระแสต่อต้านการดำเนินนโยบายเสรีนิยมใหม่เข้มข้นทั้งจากภาคประชาชน พรรคแรงงาน รวมทั้งคณะบุคคลบางส่วนในพรรคอนุรักษ์นิยมที่เป็นรัฐบาลอยู่
ต่างก็ต่อต้านการดำเนินนโยบายที่มองว่า “สุดโต่ง” และมีความเสี่ยงสูง แต่สุดท้ายแล้วนโยบายดังกล่าวก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเพื่อปฏิรูปโครงสร้างและปรับสภาพเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไป การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ก็เริ่มส่งผลไปในทางแง่ดี เศรษฐกิจอังกฤษได้กลับมาคึกคักอีกครั้งและมีบทบาทหลักในเรื่องเศรษฐกิจแถบยุโรป ที่สำคัญ กลไกรายได้หลักของระบบเศรษฐกิจจะเปลี่ยนจากการพึ่งพิงอุตสาหกรรมภายในประเทศกลายเป็นการบริการโดยเฉพาะในกิจการธนาคารที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจอังกฤษตั้งแต่นั้นมา
สุดท้ายนี้ แม้ว่า อังกฤษตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตซับไพรม์ช่วง ค.ศ.2007 – 2008 เป็นต้นมา จะไม่ได้เติบโตมากมายเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ แต่การที่ครั้งหนึ่งอังกฤษเคยตบอับทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่และสามารถกลับมามีบทบาททางเศรษฐกิจและสร้างยุคทองทางเศรษฐกิจของประเทศที่ดำรงอยู่ได้หลายปีผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ก็ถือได้ว่า เป็นสัญลักษณ์สำคัญของแนวคิดเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจที่ได้ฟื้นไข้ในหลายประเทศรวมทั้งอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในช่วงขณะนั้น และจะนำไปสู่การแพร่หลายของแนวคิดเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกหลังจากการสิ้นสุดสงครามเย็นในช่วงเวลาต่อมา
โดย ชย
อ้างอิง :
[1] Is it back to the 1970s for the UK economy? Yes, but not in the way you think
[2] The last time unemployment was this low was 1974: So how did 70s Britain crumble from economic success to power cuts, inflation and rubbish in the streets?
[3] Britain Is Much Worse Off Than It Understands
https://foreignpolicy.com/2023/02/03/britain-worse-off-1970s/
[4] How record-breaking inflation was tamed in the 1980s
https://www.theweek.co.uk/inflation/956844/how-record-breaking-inflation-was-tamed-in-the-1980s
[5] The economic wisdom of Nigel Lawson