
ขยะทะเลมาจากบนบก พล.อ. สุรศักดิ์ เตรียมชงร่างกฏหมายสิ่งแวดล้อมเสนอวุฒิสภา ยกระดับปัญหาสิ่งแวดล้อม
วันที่ 21 ธ.ค. 2566 คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง “แนวทางการบริหารจัดการปัญหาขยะทะเลของไทย” ณ ห้องวีนัส ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
โดยมี พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์ อนุกรรมาธิการ อดีตโฆษกกองทัพเรือ เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยวิทยากรผู้ให้ความรู้ประกอบไปด้วย ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและอดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ , พลเรือตรี จุมพล นาคบัว ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน ศรชล. โฆษก ศรชล. , ดร.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยด้านท้องทะเลมานานหลายปีจนเห็นปัญหาใต้ท้องทะเล และ บรรยายพิเศษโดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ภายหลังการเสวนา พลเอก สุรศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการแก้ไขปัญหาขยะใต้ท้องทะเลให้ยั่งยืนว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบการจัดการขยะทางทะเลที่ไม่ดี ทางรอดในเวลานี้คือต้องช่วยกันจัดการจำนวนขยะเกิดใหม่ให้ได้น้อยที่สุด ต้องลดขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อให้เป็นรูปธรรมที่สุด และคนไทยทุกคนต้องร่วมมือกันผลิตขยะให้น้อยลงด้วย โดยมีข้อมูลอ้างอิงว่า คนไทยผลิตขยะกว่า 1.3 กิโลต่อวัน หากร่วมใจกันผลิตขยะดังกล่าวให้น้อยลงก็จะมีขยะลงสู่ทะเลน้อยลง
ทั้งนี้ หากจะไปควบคุมการกระทำแต่ละบุคคลคงเป็นไปได้ยาก การเสวนาวันนี้จึงเป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปเสนอต่อรัฐสภาฯ และ รัฐบาล เป็นภาพรวมเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาขยะในทะเลอย่างยั่งยืน อาทิ งานวิจัยบ่งบอกว่ามีขยะในทะเล 80% บนบกอีก 20% ดังนั้นจึงต้องหาวิธีแก้ไขบนกให้ได้ก่อนจึงจะแก้ไขปัญหาขยะในท้องทะเลได้
พลเรือเอก จุมพล กล่าวย้ำอีกว่า วันนี้ได้เชิญผู้ให้ความรู้ปัญหาทางทะเลเพื่อหาทางรอดปัญหาทางทะเลร่วมกัน และถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ จึงควรให้มีการแก้ปัญหาร่วมกันทั้งทางบกและทะเล
พลเอก สุรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า หากถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าขยะทะเลที่พบนั้นมาจากบนบก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่มาจากบนบกนั่นเอง อาทิ กล่องพลาสติก กล่องโฟม หลอด หากนับ 10 อันดับขยะในทะเลแล้วมากกว่า 50% เป็นขยะจากกิจกรรมบนบก และหวังว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะถูกผลักดันให้เป็นปัญหาเทียบเท่ากับปัญหาสังคม เศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทยจะเดินหน้ามากขึ้นเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว