“ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง…” พระราชทานพระบรมราโชวาท ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, 20 พ.ย. 35
ย้อนกลับไปเมื่อ 31 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ความแตกแยก และความไม่สงบทางการเมือง ที่มีความขัดแย้งกันรุนแรง มีทีท่าว่าจะบานปลายร้ายแรง สร้างความกังวลแก่สังคมว่าอาจจะลุกลามจนถึงขั้นสงครามกลางเมือง
จุดเริ่มต้นของปัญหาเกิดขึ้นจากการก่อรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ในวันที่ 23 ก.พ. 34 โดยมีพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นรองหัวหน้าคณะ รสช. และในเวลาต่อมาได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 22 มี.ค. 35 ซึ่งพรรคสามัคคีธรรม เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด
พรรคร่วมรัฐบาลในเวลานั้น มี 5 พรรคมี ส.ส. ในสังกัด 195 เสียง ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านมี 4 พรรค มี ส.ส. ในสังกัด 163 เสียง แต่ทว่า นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม กลับถูกสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นบัญชีดำ จากความใกล้ชิดกับผู้ค้ายาเสพติด จึงไม่สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ พรรคร่วมรัฐบาลจึงเสนอชื่อพลเอกสุจินดา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และได้รับการโปรดเกล้า ฯ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 35
พรรคฝ่ายค้าน ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นสู่ตำแหน่งของพลเอกสุจินดา เห็นว่าพลเอกสุจินดา ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งก่อนหน้านี้ พลเอกสุจินดาเคยให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าจะไม่ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สุดท้ายกลับเสียสัตย์ สร้างกระแสความไม่พอใจขึ้นในสังคม
พลตรีจำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม (ขณะนั้นมี ส.ส. 41 เสียง) ออกมาเคลื่อนไหว จัดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ษ. และเหตุการณ์ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ฝ่ายรัฐบาลเริ่มมีการเรียกระดมกำลังทหารเข้ามารักษาการในกรุงเทพในช่วงเดือนพฤษภาคม มีการประกาศเคอร์ฟิวในวันที่ 18 พ.ค. 35 และเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับมวลชน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ”
ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าควบคุมตัวพลตรีจำลองได้ในวันที่ 18 พ.ค. แต่ประชาชนยังไม่หยุดการชุมนุม เริ่มมีการก่อความไม่สงบ มีการทุบทำลายป้อมจราจรและสัญญาณไฟจราจร ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเตรียมการเข้าปราบปรามด้วยการใช้กำลัง จนทำให้สังคมกังวลว่าเหตุการณ์อาจลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
ท่ามกลางความตึงเครียดที่ใกล้จะถึงจุดแตกหัก แต่แล้ว คืนวันที่ 20 พ.ค. 35 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พระปรมาภิไธยในขณะนั้น) พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ 2 แกนนำคู่ขัดแย้ง คือ พลเอกสุจินดา นายกรัฐมนตรี และพลตรีจำลอง แกนนำผู้ประท้วงเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยทรงมีพระบรมราโชวาทเตือนสติของทั้ง 2 ฝ่าย โดยมีความตอนหนึ่งว่า
“ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง…”
หลังจากนั้น วันที่ 23 พ.ค. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 – 21 พ.ค. 35 และในวันที่ 24 พ.ค. พลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง แถลงการณ์ร่วมกัน โดยพลเอกสุจินดา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้นายอานันท์ ปันยารชุนกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง บริหารประเทศจนมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในวันที่ 13 ก.ย. 35 นายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี