
“ผมมั่นใจว่าผ่าน!” ‘เศรษฐา’ โต้ ‘ศิริกัญญา’ เชื่อ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ จะโหวตผ่านในสภา
สืบเนื่องจากกรณีที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท ว่าอาจไม่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่ผ่านสภานั้น
วันที่ 13 พ.ย. 66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวตอบโต้ว่า “ผมมั่นใจว่าเสียงของผม อย่างพรรคร่วมรัฐบาลมี 320 เสียง ผมว่าเสียงของผมมั่นคง และเราทำงานเป็นทีม เชื่อว่าผ่าน”
นายเศรษฐายังกล่าวด้วยว่า ตนเองมีความมั่นใจว่าประชาชนจะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่ที่ผ่านมาโครงการต้องล่าช้าเพราะรัฐบาลต้องการรับฟังความคิดเห็นจากทั้งหมด ทั้งเรื่องการออก พ.ร.บ. กำหนดเกณฑ์คนรวย การจำกัดรายได้ที่พูดคุยและถกเถียงกัน
อีกทั้งยังมีความมั่นใจว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับเรื่องเทคนิคหรือกฎหมาย รัฐบาลทำถูกต้องทั้งหมด และทางคณะกรรมการกฤษฎีกาคงจะให้ข้อคิดเห็นในเชิงที่เป็นบวกและเราสามารถทำโครงการนี้ได้
นายเศรษฐากล่าวต่อว่าถึงแม้ว่าประเทศเราจะไม่มี GDP ติดลบ แต่เราไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ มี GDP เพียง 1.9 % ต่อปี ซึ่งประเทศอื่นโตกว่าเรา 2 เท่า คู่แข่งของเรามีการเติบโต และถ้าไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ วันหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมาลงทุนที่ไทย
“รัฐบาลเชื่อว่าเราอยู่ในวิกฤตที่ต้องการการกระตุ้น แม้คนอื่นจะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ กระตุ้นแค่คนจนที่มีรายต่ำจริงๆก็พอ หากเถียงกันไปอย่างนี้ก็ไม่จบ” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า โครงการไม่ได้มีเพียงการแจกเงิน แต่ยังมีโครงการ e-Refund หากมีการใช้จ่ายจะได้เงินคืนประมาณ 1 หมื่นบาท เทียบเท่ากับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต อีกทั้งยังมีโครงการระยะยาวในกองทุนส่งเสริมการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมใหม่อีกด้วย
สำหรับข้อสงสัยเรื่องเงินฝาก 5 แสนบาทนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า นับเฉพาะเงินฝากอย่างเดียว ไม่นับกองทุนรวมเพราะตรวจสอบไม่ได้ ส่วนเงินเกษียณ ถ้าไปในบัญชีก็นับรวมด้วย ส่วนเงินสดที่เก็บอยู่ที่บ้านไม่นับ และการตรวจสอบจะเริ่มตรวจตั้งแต่เดือนกันยายน 66
สำหรับที่มาของการออก พรก. เงินกู้เพื่อใช้ในโครงการนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า เป็นคำแนะนำของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะขณะนี้ยังมีเพดานเงินกู้เหลืออยู่ และการกู้จะดันยอดหนี้สาธารณะจาก 61% เป็น 64% ต่อ GDP หากยกระดับ GDP ขึ้นไป สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะลดตามไป แม้หนี้จะเพิ่มแต่ถ้าจีดีพีมากกว่าหนี้จะลดลง