ตลาดน้ำมันและธุรกิจพลังงานไทย ไม่ได้ผูกขาด มีผู้ประกอบการมากกว่า 40 ราย
เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ประเทศไทยได้เปิดเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในแนวทางตลาดเสรีและเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
การแข่งขันของอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นก็นำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ ทำให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจ เกิดอุตสาหกรรมและเกิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ขึ้น รวมไปถึงเกิดการลงทุนในภาคส่วนต่าง ๆ อย่างโครงสร้างพื้นที่สามารถพัฒนาได้มากขึ้น
ทั้งหมดเป็นผลทั้งทางตรงตามอ้อมจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตลาดเสรีทั้งสิ้น
ซึ่งหนึ่งในลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจนี้ ก็คือการมีผู้เล่น ผู้ประกอบการ มีกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่มีสิทธิในการเข้าสู่ตลาดหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นตลาดของอุตสาหกรรมเล็ก ๆ ไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งนั่นก็รวมถึงอุตสาหกรรมพลังงานเช่นเดียวกัน
ระบบทุนนิยมตลาดเสรีในประเทศไทยนั้นทำให้ทุก ๆ อุตสาหกรรมมีผู้ลงทุนและผู้ประกอบการมากมาย อย่างตลาดธุรกิจน้ำมันนั้น ประเทศไทยเองก็มีผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันที่หลากหลาย เช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีธุรกิจน้ำมันที่ผูกขาด แต่เพราะความแตกต่างกันของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ทั้งในเรื่องเป้าหมาย ลักษณะการประกอบการ ไปจนถึงขนาดและความสามารถในการดำเนินกิจการ จึงทำให้ตลาดน้ำมันมีความหลากหลาย
และยิ่งเมื่อเรากางกฎหมายมาพูดด้วย ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วประเทศไทยก็มีผู้ประกอบการน้ำมันมากกว่า 40 ราย ตามมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ซึ่งตราขึ้นในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ ไม่ว่าจะเป็น เชลล์, เอสโซ่, บางจาก, ซัสโก้, เชฟรอน รวมไปถึงบริษัทที่ดำเนินกิจการอื่นเป็นหลัก แต่ก็ประกอบธุรกิจน้ำมันร่วมด้วย เช่น ยูนิคแก๊ส, (น้ำตาล) มิตรผล, บี.กริม , กัลฟ์ เป็นต้น
ในฐานะหน่วยงานรัฐซึ่งแปรรูปมาเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ปตท. นั้นก่อตั้งขึ้นและดำเนินการโดยมีเป้าหมายในการดูแลกิจการน้ำมัน รวมถึงการเป็นบริษัทพลังงานของประเทศ
และก็ถือเป็นเพียงหนึ่งในผู้เล่นหรือผู้ประกอบกิจการของธุรกิจน้ำมันเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ปตท.ก็ยังมีการดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอื่นนอกจากน้ำมันอีกมากมาย เช่นเดียวกันกับกลุ่มธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ
ระบบทุนนิยมตลาดเสรีนั้นได้ทำให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้ด้วยเศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการพัฒนา เศรษฐกิจไทยนั้นไม่ใช่มุ่งแต่เพียงการค้าขายที่เสรี แต่ยังมองไปถึงความสมดุลในหน้าที่รัฐต่อการพัฒนาและผลประโยชน์ของประเทศอย่างรอบด้านด้วย