สหพันธรัฐยุโรป รมว.กิจการยุโรปแห่งสาธารณรัฐเช็ก เสนอให้เปลี่ยนจากสหภาพยุโรป (EU) เป็น ‘สหพันธรัฐยุโรป’ หรือ ‘สหรัฐยุโรป’
สหภาพยุโรป (EU) ในรูปแบบปัจจุบันไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับจำนวนประชากรและอำนาจทางเศรษฐกิจ มาร์ติน ดโวชาค (Martin Dvorak) รัฐมนตรีกระทรวงกิจการยุโรปแห่งสาธารณรัฐเช็ก กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ EURACTIV.cz เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (18 ก.ค.)
รมว.ยอมรับว่าจุดยืนดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมเลย พร้อมเสนอว่าควรเปลี่ยนจากสหภาพยุโรปเป็น ‘สหพันธรัฐยุโรป’ หรือ ‘สหรัฐยุโรป’ ซึ่งเขาอ้างว่าจะทำให้ EU อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเป็น “พันธมิตรที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริงในเกมระหว่างจีน อเมริกา หรือรัสเซียและอินเดีย”
ปัจจุบันสหภาพยุโรปถูกจัดประเภทเป็นสมาพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ (informal confederation) หรือสหภาพของรัฐอธิปไตย (union of sovereign states) ซึ่งดำเนินการผ่านระบบผสมผสานระหว่างรัฐบาลประเทศต่างๆ และแนวคิดในการดำรงอยู่ขององค์การเหนือรัฐ (supranationalism)
การเปลี่ยนเป็นสหพันธรัฐจะทำให้ EU มีความคล้ายกับสหรัฐอเมริกาที่มีรัฐบาลรวมศูนย์หรือรัฐบาลกลาง (Federal) ซึ่งจะมีอำนาจสูงสุดเหนือรัฐสมาชิกทั้งหมด
ขณะที่รัฐบาลเช็กในปัจจุบันยังลังเลที่จะเพิ่มสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ดโวชาคกลับเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่สนับสนุนการรวมกลุ่มของสหภาพยุโรป และยังได้วิพากษ์วิจารณ์กลุ่มที่ไม่เชื่อมั่นและสงสัยในการดำรงอยู่ของสหภาพยุโรป (Euroskepticism) อยู่เสมอ
“ผมคิดว่าการโต้วาทีในประเทศของเราขาดฝ่ายที่มองการดำรงอยู่ของสหภาพยุโรปในแง่ดี และนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการนำมาสู่การโต้วาที”
ในการให้สัมภาษณ์กับ EURACTIV รัฐมนตรียังได้แบ่งปันจุดยืนของเขาเกี่ยวกับการปฏิรูปสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถอดถอนสิทธิในการวีโต้ของชาติสมาชิกอียูในบางนโยบาย
“ถ้าผมนิยามตัวเองว่าเป็นผู้สนับสนุนระบอบสหพันธรัฐ (Federal) ซึ่งแน่นอนว่านี่จะเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับผมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผมก็ตระหนักดีว่าสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนี้ยังไม่สุกงอมสำหรับสิ่งนี้ ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่”
ในขณะเดียวกัน Center for Public Opinion Research (CVVM) ได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในสหภาพยุโรป นาโต้ และสหประชาชาติได้ลดลงอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวเช็กในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ CVVM ชี้ว่าการลดลงอาจมีสาเหตุมาจากวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตผู้อพยพที่กำลังดำเนินอยู่