ตัดสินคดีย้อนแย่ง นักวิชาการเปรียบเทียบคำพิพากษาของ 2 ศาล ต่อคดี ‘ยิ่งลักษณ์’ ย้าย ‘ถวิล’
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 66 เพจ “ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง” โพสต์บทความของ รศ. สมชาย ปรีชาศิลปะกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิจารณ์ความแตกต่างระหว่างคำตัดสินของศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญในคดีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
โดย รศ. สมชายยกคำตัดสินที่มาจากประเด็นเดียวกัน แต่มีความหมายที่แตกต่างกันในคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอ่านคำพิพากษาในวันที่ 7 พ.ค. 57 กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเพิ่งมีการอ่านคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมา โดยมีข้อความว่า
หนึ่งเหตุการณ์ สองความหมาย มหัศจรรย์แห่งอำนาจตุลาการไทย
แม้จะเป็นที่เข้าใจว่าคำตัดสินต่อการกระทำของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากศาลฎีกา ใน พ.ศ. 2566 และศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2557 (ซึ่งมีผลแตกต่างกันอย่างมาก) เป็นการพิจารณาในความผิดคนละฐาน จึงสามารถมีคำตัดสินที่แตกต่างกันได้ แต่หากดูจากประเด็นสำคัญในคดี จะพบว่ามีการให้ความหมาย/ตีความที่แตกต่างกันต่อข้อเท็จจริงเดียวกัน อย่างน่าอัศจรรย์ใจว่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งสามารถถูกให้ความหมายได้แตกต่างกันได้อย่างที่เกิดขึ้นกระนั้นหรือ
ประเด็นสำคัญในเบื้องต้นที่นำเสนอในสื่อมวลชน มีดังนี้
หนึ่ง ระยะเวลาในการโยกย้าย 4 วัน
.
ศาลฎีการับฟังพยานว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ อันหมายความว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการให้ความเห็นชอบโอนนายถวิล ซึ่งกระทำแค่ 4 วัน เป็นการกระทำโอนรวบรัด กระทำเอกสารอันเป็นเท็จมีพิรุธ ส่อแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นปกติ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สอง การเข้ามาชี้นำของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ต่อการโยกย้าย
ศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานใดยืนยันว่าการแต่งตั้งโยกย้ายนายกรัฐมนตรี เข้ามาชี้นำ หรือสั่งการในการแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า “ผู้ถูกร้องได้ร่วมประชุม ครม. และลงมติอนุมัติให้นายถวิล พ้นจากตำแหน่ง และได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ให้นายถวิลไปปฏิบัติตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เมื่อข้อเท็จจริงระบุว่าผู้ถูกร้องเข้าไปเกี่ยวข้องหลายอย่าง ย่อมเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงข้าราชการประจำอยู่แล้ว หาจำเป็นผู้เริ่มโดยตรงหรือไม่”
สาม การโยกย้ายเพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ มาดำรงตำแหน่งแทน
ศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานใดที่แสดงถึงความเชื่อมโยงในการโยกย้ายนายถวิล เพื่อให้ พล.ต.อ. วิเชียร ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. แต่อย่างใด เพราะกระบวนการในการโยกย้ายนายถวิล ระยะเวลาห่างจากการแต่งตั้ง พล.ต.อ. วิเชียร ถึง 22 วัน และไม่ปรากฏพยานว่าการโอนย้ายนั้น เป็นการเตรียมการโดยแบ่งแยกหน้าที่กันทำ เพื่อให้มีการแต่งตั้ง พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง ผบ. ตร. แต่อย่างใด ศาลจึงเห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาพิเศษในการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี
แต่ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายว่าปัจจัยอันเป็นที่มาการโอนนายถวิล คือความประสงค์ให้ตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ว่างลง เพื่อโอนย้ายตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่ พล.ต.อ. วิเชียรนั่งอยู่มาเป็นเลขาธิการ สมช. อันทำให้ตำแหน่ง ผบ.ตร. ว่างลง และสามารถแต่งตั้งเครือข่ายของผู้ถูกร้องมาแทนได้ และอายุราชการเหลืออีก 2 ปี ซึ่งมากกว่า พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ซึ่งเหลืออายุราชการ 1 ปี ก็จะต้องมีการโอนให้ พล.ต.อ. วิเชียรไปดำรงตำแหน่งอื่นแทน
นี่จึงเป็นหนึ่งเหตุการณ์ สองความหมาย มหัศจรรย์แห่งอำนาจตุลาการไทย