‘การปรับขึ้นค่าแรงที่ไร้มาตรฐาน’ หอการค้าชี้ เป็นการทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจ ควรกระจายอำนาจการพิจารณาลงสู่ส่วนท้องถิ่น เพราะแต่ละจังหวัดมีเงื่อนไขและปัญหาที่แตกต่างกัน
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวถึงนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน โดยมีผลทันที และจะมีการปรับขึ้นทุกปีตามค่าครองชีพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคก้าวไกลว่า
หอการค้าแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าการปรับค่าแรงทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องสอดคล้องกับข้อกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานของไทย และ สอดคล้องกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ซึ่งนี่เป็นจุดยืนของหอการค้ามาตั้งแต่สมัยรัฐบาลก่อนและรัฐบาล คสช.
การปรับขึ้นค่าแรงในแต่ละพื้นที่ ไม่จำเป็นจะต้องเท่ากัน เพราะสภาพสังคม-เศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ควรผ่านกระบวนการพิจารณากลั่นกรองโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วย นายจ้าง, ลูกจ้าง และส่วนราชการ เพื่อพิจารณาถึงปัญหาและเงื่อนไขของแต่ละจังหวัด ซึ่งไม่เหมือนกัน
“หอการค้าฯ เรายืนยันในจุดนี้ ว่า เราสนับสนุนสิ่งที่เป็นไปตามกฎหมาย , ตามพ.ร.บ. และตาม ILO โลก (องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) โดยหอการค้า ได้มีการกล่าวไปหลายครั้งตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ว่านโยบายเรื่องค่าแรง นำมาใช้เป็นการหาเสียงค่อนข้างอันตรายมาก
เนื่องจากเป็นสิ่งที่เปราะบางมากกับโครงสร้างเศรษฐกิจ การขึ้นค่าแรงโดยที่ไม่มีตัวที่อ้างอิงได้ตามกฎหมาย หรือวิธีขึ้น จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนักลงทุนที่ลงไปแล้ว และนักลงทุนทั้งไทยและเทศที่กำลังจะมาอยู่ หรือกำลังจะลงทุนอยู่
เพราะถ้าไม่มีมาตรฐานในการขึ้นค่าแรงที่จับต้องได้ กลายเป็นว่า นักลงทุนมาก็ไม่รู้ว่า เดี๋ยวคนต่อไปจะปรับเท่าไหร่ มันไม่มีหลักการของมัน เพราะฉะนั้น จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อการลงทุนมาก
สำหรับการลงทุนใหม่ ขณะที่ นักลงทุนรายเดิมที่ลงทุนอยู่ในประเทศไทย จะเป็นการเพิ่มภาระในเรื่องของค่าใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ”
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม นายจ้างอาจแก้ปัญหาด้วยการทดแทนแรงงานคนด้วยหุ่นยนต์ แต่ในส่วนของผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอี นั้นไม่มีทางที่จะหลบหลีกผลกระทบได้เลย