พลังงานสะอาดในประเทศไทย
เมื่อพูดถึงประเทศที่มีการใช้ “พลังงานสะอาด” ประเทศไทยของเราอาจจะไม่ได้ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ในความคิดของใครหลาย ๆ คน หรือบางคนอาจจะคิดด้วยซ้ำว่าประเทศไทยนั้นไม่ได้มีการพัฒนาพลังงานสะอาด, พลังงานทดแทน หรือ พลังงานหมุนเวียนใด ๆ เพื่อใช้แทนพลังงานจากปิโตรเลียมทั่วไปเลย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศของเรานั้นมีการดำเนินพลังงานที่ทำมาโดยตลอดอย่างค่อยเป็นค่อยไป และทำให้ปัจจุบันมีฐานเกือบ 20% ของพลังงานทั้งหมด
ในงาน Future Energy Asia 2023 ซึ่งเป็นเวทีเสวนาและมหกรรมนิทรรศการด้านการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (energy transition) ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เล่าถึงเส้นทางของประเทศไทย ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการผลักดันพลังงานสะอาดว่า
ประเทศไทยนั้นมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องพลังงานสะอาด และเป็นเบอร์ต้น ๆ ของภูมิภาคอาเซียนในการผลักดันเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emission)
อีกทั้งยังคาดการณ์ว่า พอร์ตพลังงานสะอาดของไทยจะเติบโตจาก 20% ในปัจจุบัน กลายมาเป็น 50-60% ภายในระยะเวลา 10-20 ปีที่จะถึงนี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลดีกับภาคการลงทุน ที่ค่อย ๆ ให้ความสำคัญกับประเด็นการแก้ไขปัญหา Climate Change ทั้งการใส่ใจเรื่อง Carbon Footprint, Carbon Credit, เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net-Zero Emission และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
ซึ่ง 3 ปัจจัยหลักก็คือ 1.) การที่ประเทศไทยนั้นมี Carbon Footprint (ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์) อยู่ที่ 300 ล้านตัน ซึ่งน้อยกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่นในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ที่ 3,000 ล้านตัน หรือ เวียดนาม ที่ 900 ล้านตัน
2.) มีระบบ Utility Green Tariff ที่กำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งเป็นการเอื้อต่อผู้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวในการผลิตสินค้าที่ต้องมี Carbon Tracking หรือ การตรวจวัดปริมาณคาร์บอนฯ
3.) ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมของไทย ในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเทศไทยได้มีการจัดทำแผนพลังงานชาติและแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ขึ้นมา และปรับปรุงแก้ไขให้มีความเหมาะสมกับนโยบายและเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ประเทศเราเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประเทศที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน