หอการค้าไทย-จีนเผย การท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ชี้จีนขยายการนำเข้า เป็นโอกาสส่งออกของไทย
เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2567 นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีนเปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีนประจำไตรมาสที่สองปี 2567 ระหว่างวันที่ 15-20 กุมภาพันธ์ 2567 โดยผู้ตอบการสำรวจประกอบด้วย ประธาน คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และกรรมการหอการค้าไทย-จีน ผู้บริหาร และกรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทย-จีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทย-จีนเป็นจำนวนทั้งหมด 476 คน ซึ่งมีผลสรุปดังนี้
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนจะเป็นปัจจัยรองลงมา ในขณะที่การใช้จ่ายของภาครัฐจะเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญน้อยที่สุด
สำหรับความเสี่ยงที่ควรต้องเฝ้าระวังนั้น ผู้ถูกสำรวจให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสำคัญที่สุด ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศจนก่อให้เกิดภาวะสงคราม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะมาทำหน้าที่แทนแรงงาน และความคิดที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มคนต่างวัย เป็นความเสี่ยงที่จะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
สำหรับอุตสาหกรรมที่ไทยน่าจะชวนจีนมาลงทุนในปีนี้นั้น ผู้ตอบแบบสอบถามตอบเรียงตามลำดับจากมากสุดดังนี้
1 อุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์
2 อุตสาหกรรมดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
3 อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
4 อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ
นายณรงค์ศักดิ์ยังกล่าวว่า การที่ประเทศจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2567 ที่อัตรา 5% และเพิ่มอัตราการจ้างงานใหม่มากกว่า 12 ล้านคน รวมถึงส่งเสริมการเปิดประเทศซึ่งจะขยายการนำเข้าสินค้าคุณภาพสูงจากต่างประเทศด้วยนั้น ถือเป็นโอกาสสำหรับการขยายการส่งออกสินค้าของไทยไปจีน
ซึ่งในภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของจีนใน 2 เดือนแรก (ม.ค. – ก.พ. 2567) มีทิศทางที่ดี ขยายตัวขยายตัว 8.7% มีมูลค่าการค้ารวม 6.61 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 33.44 ล้านล้านบาท)
ซึ่งประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของจีนในกลุ่มอาเซียน มีอัตราการค้าระหว่างกันขยายตัว 5.9% มีมูลค่า 133,210 ล้านหยวน (ประมาณ 673,851.71 ล้านบาท) การส่งออกของจีนไปยังประเทศไทยขยายตัว 11.6% มีมูลค่า 88,460 ล้านหยวน (447480.84 ล้านบาท) ส่วนการนำเข้าของจีนจากไทยหดตัว 3.8% มีมูลค่า 44,750 ล้านหยวน (226,370.87 ล้านบาท)