‘แบงก์ชาติ’ ติงฝ่ายการเมือง ชี้ตอนนี้ไทยไม่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระยะยาว
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในแถลงการณ์ วันที่ 24 เมษายน 2566 ระบุว่า ธปท. ไม่ขอแสดงความเห็นกับนโยบายที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งนำมาหาเสียง ซึ่งในหลักการแล้วหากเป็นนโยบายที่ออกมาแล้วบั่นทอนต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ก็เป็นปัจจัยที่ ธปท. ต้องจับตา
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาในหลายๆ ประเทศ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ 4 เรื่อง ประกอบด้วย
- เสถียรภาพด้านราคา นโยบายที่ออกมาจะต้องไม่กระตุ้นให้เงินเฟ้อขยายตัวสูงขึ้นมาก (ไฮเปอร์ อินเฟรชั่น) เช่น ในหลายประเทศที่จะต้องมีการพิมพ์เงินออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาเสถียรภาพ ทำให้นโยบายการเงินต้องไปตอบสนองนโยบายการคลังเกินความจำเป็น จนขาดเสถียรภาพในการกำหนดนโยบาย
- เสถียรภาพด้านต่างประเทศ เช่น การทำนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่จะไปกระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- เสถียรภาพด้านฐานะการคลัง ที่จะต้องคำนึงบนพื้นฐานหลายอย่าง ไม่ให้ภาระการคลังสูงเกินไปจนกระทบกับเสถียรภาพและหนี้สาธารณะต่อจีดีพี รวมถึงภาระหนี้ต่องบประมาณจะต้องควบคุมไม่ให้สูงเกินไป โดยในส่วนของไทยปัจจุบันภาระหนี้ต่องบประมาณยังอยู่ในสัดส่วน 8.5% และคาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 8.75% แต่หากมีการทำนโยบายใช้จ่ายที่กระตุ้นภาระหนี้ให้สูงมากกว่า 10% ประเทศก็อาจจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ
- เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ก็ต้องทำนโยบายที่ไม่กระตุ้นให้ผิดวินัยการชำระหนี้ ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนเสถียรภาพ
“นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองต่างๆ จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อให้ปรับสูงขึ้นหรือไม่ ก็ต้องไปดูที่รูปแบบ วิธีการในแต่ละนโยบาย แต่ในมุมของ ธปท. เศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้น แต่ควรที่จะให้น้ำหนักในเรื่องของการดูแลเสถียรภาพ ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการได้ผลในระยะสั้น ส่งผลข้างเคียงให้เกิดภาระหนี้ตามมา จึงจำเป็นต้องสร้างศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะการเร่งผลักดันเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า มาตรการพักหนี้ไม่ควรใช้อย่างยาวนาน เนื่องจากภาระของลูกหนี้ไม่ได้ลดลง เนื่องจากดอกเบี้ยยังเก็บตามปกติ แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการดังกล่าว เพราะทุกอย่างหยุดชะงักทั้งหมด จึงต้องทำมาตรการแบบวงกว้าง
แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ก็เห็นว่าการทำนโยบาย ‘พักหนี้แบบทอดแห’ ไม่ดีแน่ ต้องปรับเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ แบบเฉพาะเจาะจง โดยเน้นปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการเสียวินัยในการชำระหนี้ และต้องไม่ทำอะไรที่กระทบกับความสามารถในการขอสินเชื่อในอนาคตของลูกหนี้ด้วย
ทั้งนี้ในระยะต่อไป ธปท. จะมีการออกมาตรการเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นภาพใหญ่ โดยจะเน้นเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ อัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนความเสี่ยงของลูกหนี้อย่างแท้จริง รวมถึงมีการให้ความรู้ทางการเงินที่ถูกต้องและชัดเจนควบคู่กันไปด้วย