การเมืองไทย-การเมืองโลก
เรื่องการร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ที่ถูกถอนร่างออกไปหลังพิจารณาจบในมาตรา 24 เพื่อ ให้คณะกรรมาธิการไปทบทวนมาตราอื่นๆ ที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับมาตรา 23 ที่รัฐสภามีมติเห็นชอบไปแล้วให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และหารด้วย 5๐๐ ในการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ
มีความคืบหน้าที่ชัดเจนแล้วว่าคณะกรรมาธิการได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยต้องเขียนเพิ่ม และแก้ไขอีก 2 มาตราคือ มาตรา 25/1 และมาตรา 26 เพื่อขยายความให้การหารด้วย 5๐๐ ตามมาตรา 23 สามารถใช้ปฏิบัติได้ต่อไป
คุณชวนได้สั่งบรรจุร่างกฎหมายนี้ในวาระการประชุมรัฐสภา ในวันที่ 2 สิงหาคม แล้ว ดังนั้นสมาชิกรัฐสภาสามารถเดินหน้าพิจารณาตั้งแต่มาตรา 24/1 ได้ต่อไป
ความสับสนของสังคมเกิดขึ้นเพราะฝ่ายการเมืองเองนั่นแหละที่ให้ข่าวกับสื่อเหมือนจะหาทางกลับ ไปสู่การหารด้วย 1๐๐ ทั้งที่รู้ว่าแก้ไขไม่ได้แล้วในชั้นวาระ 2 เพราะมาตรา 23 ได้ผ่านความเห็นชอบไปแล้ว
มีสองวิธีที่จะทำให้การหาร 5๐๐ ไม่เกิดขึ้น คือ โหวตคว่ำในชั้นวาระ 3 กฎหมายก็ตกไป และกลับไปทำกันใหม่ หรือทำให้ร่างนี้พิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 สิงหาคม ร่างนี้ก็ตกไป แต่ไม่ต้องไปทำมาใหม่ ให้กลับไปใช้ร่างเดิมที่รัฐสภาเห็นชอบในวาระ 1 ไปแล้ว ก็จะได้วิธีหารด้วย 1๐๐ กลับมาใช้
มันเป็นเรื่องชั้นเชิงทางข้อกฎหมายและการทำงานในสภาของฝ่ายการเมืองโดยแท้ ประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากความสับสนนี้ มีคนตอบว่า ประชาชนได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมและความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองเต็มๆ
ยิ่งหากสามารถให้รัฐสภาทำอะไรก็ได้เพื่อกลับไปสู่การหารด้วย 1๐๐ ได้แล้ว ก็ทำใจกันเถอะ บ้านเมืองมันจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ให้มันเป็นไป รับผิดชอบกันเอาเองก็แล้วกัน น่าเศร้าใจ
เรื่องนี้เขียนไว้ก่อนที่สภาจะประชุมกัน อยากเดาให้ถูกว่ากฎหมายนี้จะผ่านวาระ 3 และถูกส่งไปยัง กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ อาจถึงศาลฎีกาให้วินิจฉัย รอติดตามกัน
มีเรื่องต่างประเทศที่มองข้ามไม่ได้ คือ การสั่งประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของเมียนมาร์ 4 คนเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นเรื่องที่คนไทยต้องตั้งหลักและพิจารณาให้รอบด้านก่อนจะแสดงความเห็นหรือท่าทีใดๆ ในทางสื่อหรือทางสาธารณะ ไม่เช่นนั้นจะเข้าทำนองที่ว่า “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกแขวนคอ”
นักการต่างประเทศหลายคนวิเคราะห์ว่า รัฐบาลทหารเมียนมาร์ออกคำสั่งแบบนี้ เพื่อต้องการขู่ให้กลุ่มเคลื่อนไหวหวาดกลัว ยุติการต่อต้านและมั่นใจว่าสามารถควบคุมเหตุรุนแรงในประเทศได้
ยิ่งได้เห็นผู้นำเมียนมาร์เดินทางไปพบรัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซียเมื่อกลาง ก.ค.2565 เพื่อดูแหล่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ทำให้เชื่อได้เลยว่ารัฐบาลทหารเมียนมาร์ไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างแน่นอน
นอกจากอาวุธแล้วยังมีการเจรจาเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ ที่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการพัฒนาเพื่อพลังงานทางเลือก หรือเพื่อมุ่งไปสู่การมีอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคต ไม่ว่าจะไปแนวทางไหนก็เป็นเรื่องที่ไทยต้องติดตามใกล้ชิด
แรงต่อต้านคำสั่งประหารชีวิตเกิดขึ้นทันทีในประเทศที่ยกย่องตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ไม่เว้นแม้แต่อังกฤษประเทศเจ้าอาณานิคมที่สร้างระบอบการเมืองทิ้งไว้ จนทำให้เมียนมาร์มีปัญหาจนถึงทุกวันนี้ ต่างออกมาแสดงท่าทีคัดค้านรุนแรง ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อแกนนำรัฐบาลทหารเมียนมาร์ และพร้อมจะสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านทุกรูปแบบ
ไม่เพียงเท่านั้นยังขอให้ไทยในฐานะประเทศที่มีดินแดนติดกัน ช่วยตอบโต้รัฐบาลทหารและสนับสนุนกลุ่มต่อต้านด้วย ซึ่งมีพรรคการเมืองไทยบางพรรค นักวิชาการไทย รวมถึงกลุ่มนักเคลื่อนไหวไทยรับลูกมาแสดงท่าทีจัดกิจกรรมออกสื่อสาธารณะทันทีเช่นกัน โดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ ดูให้รอบด้านว่ารัฐบาลไทยทำอะไรไปแล้วบ้าง และผลกระทบในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ยิ่งได้เห็นว่า ว่าที่ทูตสหรัฐจะเข้ามาจัดการให้ไทยช่วยกลุ่มต่อต้านและให้งดซื้อพลังงานจากเมียนมาร์เหมือนที่ขอให้กลุ่มประเทศยุโรปงดซื้อพลังงานจากรัสเซีย จนทำให้ประชาชนยุโรปตอนนี้เดือดร้อนไปทั่ว ยิ่งทำให้พลพรรคกลุ่มประชาธิปไตยในไทยมั่นใจว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องตามค่านิยมแบบประชาธิปไตยแล้ว
ทำนายล่วงหน้าได้เลยว่ากลุ่มต่อต้านจะจับมือกับชนกลุ่มน้อยที่อยากเป็นอิสระจากรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ตามแนวชายแดนของไทย ร่วมกันเปิดศึกทั้งในรูปแบบใช้กองกำลังเข้าต่อสู้ และทำนอกรูปแบบโดยใช้การซุ่มโจมตี ลอบสังหาร ก่อความไม่สงบ ก่อการร้ายรูปแบบต่างๆ ในเมืองใหญ่ เมืองสำคัญและพื้นที่สำคัญ เพื่อลดทอนความเข้มแข็งของรัฐบาล
กิจกรรมเหล่านี้อาจเกิดขึ้นทั้งที่เมียนมาร์และประเทศต่างๆ ที่มีชาวเมียนมาร์อาศัยอยู่ เช่น ในไทยเกิดขึ้นแล้วที่ จ.ตาก อาการกระดูกแขวนคอจะเกิดมากขึ้น เพราะไทยเป็นประเทศเสรีที่ติดกับเมียนมาร์
ความช่วยเหลือรูปแบบต่างๆ จะต้องผ่านไทยไม่ว่าจะเป็นปัจจัย 4 กลุ่มคนสนับสนุน กลุ่มคนที่หนีภัยสงครามข้ามมาฝั่งไทย แรงงานชาวพม่าอีกนับล้านคนในไทย เงินทุนสำหรับต่อสู้ รวมไปถึงอาวุธที่จะส่งผ่านจากไทย
ยังไม่นับถึงช่วงเวลาอีกไม่นานนี้ที่ทูตสหรัฐจะเดินทางมาทำหน้าที่ในไทย เมื่อถึงตอนนั้นไทยอาจจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาร์ไปโดยปริยาย ทั้งที่ไทยไม่ต้องการแบบนั้นแต่จะปฏิเสธไม่ได้
ไทยกับพม่าในสมัยบรรพกาล ต่างเคยมีบทเรียนจากการทำสงครามต่อสู้แย่งชิงดินแดนกันมานานบ้านเมืองเสียหายยับเยินทั้งสองฝ่าย และแต่ละครั้งใช้เวลานานหลายสิบปีกว่าที่จะบูรณะเมือง จิตใจของประชาชน และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันให้กลับมาพูดคุยกันได้อีกครั้ง
บทเรียนเหล่านั้นทำให้ปัจจุบันทั้งไทยและเมียนมาร์ต่างดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกันอย่างสร้างสรรค์และระมัดระวังโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ผู้นำรัฐบาลไทยในอดีตยังใช้การสร้างความสัมพันธ์นอกเหนือการทูต สร้างความเข้าใจอันดีต่อกันเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น ความสัมพันธ์ทางประมุขของชาติ ทางทหาร ทางศาสนา เป็นต้น ซึ่งยังคงดำรงอยู่มาจนถึงขณะนี้
ใครจะไปคาดคิดมาก่อนว่า มิน อ่อง หล่าย ผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของรัฐบาลเมียนมาร์ขณะนี้ จะขอให้ พล.อ.เปรม รับเป็นลูกบุญธรรม จึงให้ความเคารพรักอย่างยิ่ง และยังเคารพนับถือครูบาแสงหล้าแห่งวัดพระธาตุสายเมือง พระเกจิดัง 2 แผ่นดินแห่งล้านนาอีกด้วย
ความสัมพันธ์นอกเหนือการทูตแบบนี้ เกิดจากผู้นำรุ่นก่อนที่ศึกษาอดีตและเล็งเห็นการณ์ไกล ทำเพื่อสร้างหลักประกันในอนาคตให้ประเทศ
จึงเป็นหน้าของคนไทยทุกคนที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ถ่องแท้ ศึกษาอดีตหรือประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน แล้วดูว่าผลประโยชน์ของไทยอยู่ตรงไหน
ไม่ควรปล่อยให้พรรคการเมืองบางพรรค นักการเมืองบางคนที่หิวแสง แสดงความเห็นเพียงเพื่อให้เกิดเป็นข่าว โดยไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศตามมา หรือปล่อยให้นักวิชาการ กลุ่มองค์กรที่คอยแต่เชิดชูสิทธิมนุษยชนประชาธิปไตย สร้างบทบาทเพื่อรอรับการสนับสนุนทั้งเงินและกล่องจากต่างประเทศเหล่านี้ มาให้ความเห็นชี้นำแต่เพียงมุมเดียว
แตกต่างจากนักการเมือง นักวิชาการ และนักสิทธิมนุษยชนในหลายประเทศ ที่แม้จะเรียกตัวเองว่าประเทศโลกเสรี เขาจะเว้นการแสดงความเห็นใดๆ หากเห็นว่าเรื่องนั้นๆ จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศตนเอง หรือที่สุภาษิตไทยเรียกว่า เป็นการชักศึกเข้าบ้านนั่นเอง คงมีแต่ไทยที่อ้างสิทธิเสรีภาพในทุกเรื่อง จนลืมทำหน้าที่ที่ต้องคอยปกป้องประเทศเพื่อลูกหลานสืบไป
สถานการณ์วิกฤต ! Credit Suisse กู้แบงค์ชาติสวิส 1.86 ล้านล้านบาท หวังเพิ่มสภาพคล่อง หลังหุ้นร่วงกว่า 30%
จีนทุ่ม 4.98 ล้านล้านบาท ลุยพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หวังแก้เกมการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
ขอให้หยุดยิง ทูตปาเลสไตน์ขอประชาคมโลกเป็นตัวกลางเจรจา ให้อิสราเอล และฮามาสหยุดยิง เพื่อการเจรจาช่วยตัวประกัน
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม