ทำความเข้าใจแนวคิดและวิธีการในการครอบงำทางความคิด และแผ่อิทธิพลทางวัฒนธรรม Pop-Culture
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 สำนักโพล IFOP (ย่อมาจาก Institut français d’opinion publique หรือ French Institute of Public Opinion) สัญชาติฝรั่งเศส ได้ทำการสำรวจความเห็นของชาวฝรั่งเศสว่าใคร-ประเทศใดที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการเอาชนะประเทศเยอรมันได้ และ “แม้ว่าโซเวียตจะไม่ได้มีส่วนมากในการปลดปล่อยฝรั่งเศสเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และอังกฤษ” คนฝรั่งเศสก็เห็นพ้องต้องกันว่าสหภาพโซเวียตรัสเซียนั้นเป็นผู้ที่มีส่วนมากที่สุดในการเอาชนะเยอรมัน [1][2]
แต่ในปี 1994 และ 2004 สำนักโพล IFOP ได้ทำการสำรวจความเห็นในเรื่องนี้อีกครั้ง ผลสำรวจกลับออกมาว่าชาวฝรั่งเศสมองว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ส่วนมากที่สุดในการเอาชนะเยอรมันคือ 49% และ 58% ตามลำดับ เรียกได้ว่าตำแหน่งความสำคัญของโซเวียตกับอเมริกานั้นถูกสลับเปลี่ยนกันอย่างสิ้นเชิง อะไรที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดไปได้ถึงขั้นนี้
ส่วนหนึ่งเราอาจจะกล่าวว่าผู้ที่อยู่ร่วมยุคในเหตุการณ์ พวกเขาจะต้องเป็นผู้ที่มีข้อมูลและความเข้าใจที่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนผู้คนรุ่นหลังที่อยู่ในยุคถัด ๆ มาก็คงจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปได้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ว่าอะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดนั้น ๆ อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนมีความเห็นที่เปลี่ยนแปลงไป? อะไรทำให้คนฝรั่งเศสเปลี่ยนไปคิดว่าอเมริกามีส่วนในการเอาชนะเยอรมันได้แทนที่จะเป็นโซเวียต?
ความเห็นของคนฝรั่งเศสในเว็บไซต์ les-crises.fr ที่ลงบทความตีแผ่ผลสำรวจของ IFOP ที่ยกมานี้นั้นก็มีคนตอบคำถามนี้เอาไว้อยู่หลากหลาย หนึ่งในผู้แสดงความเห็นนั้นชี้ว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงน่าจะเป็นสื่อและอุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ฮอลลีวูด” ซึ่งในความเห็นเหล่านั้น ก็มีการเรียกสื่อและอุตสาหกรรมบันเทิงจากฮอลลีวูดทั้งหลายว่าเป็น “โปรปากันดา” (propaganda) หรือการ “โฆษณาชวนเชื่อ” อีกด้วย [1]
ความเห็นเหล่านี้นั้นก็คงไม่น่าจะเกินเลยจากความเป็นจริงมากนัก เพราะหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา “วัฒนธรรรมป๊อป” หรือ pop-culture ไม่เพียงแต่ของฝรั่งเศส แต่คือของสังคมทั่วโลกนั้นก็เรียกได้ว่าถูกปกคลุมโดยอิทธิพลทางความคิดของวัฒนธรรมอเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าวัฒนธรรมป๊อปนั้นเป็นสิ่ง ๆ เดียวกันกับ (synonymous with) วัฒนธรรมอเมริกา
บทความบทหนึ่งของนิตยสารไทม์ (Time) ได้มีการกล่าวไว้ว่า “เมื่อพูดถึงวัฒนธรรม…ศตวรรษที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่าเป็นศตวรรษแห่งอเมริกาที่แท้จริง ด้วยการเป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง และด้วยการมีเศรษฐกิจที่ขยายตัว แผ่อิทธิพล และอำนาจ…สัตว์วิเศษนี้นั้นประกอบขึ้นมาได้จากพละกำลังของวัฒนธรรมอเมริกัน ผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด, รายการโทรทัศน์, และดนตรี ซึ่งแผ่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก” [3]
เราจะสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ ว่ามีภาพยนตร์กี่เรื่อง รายการโทรทัศน์กี่ตอนที่มีการฉายภาพประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นในระดับรัฐบาลหรือระดับบุคคล ว่าเป็นพระเอกหรือตัวเอก ผู้มีความสำคัญในการกอบกู้สถานการณ์จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นภัยต่อโลก
เหล่านี้คือตัวอย่างของวิธีการในการแผ่ขยายความคิดที่มีอเมริกาเป็นศูนย์กลาง นั่นคือทุก ๆ อย่างนั้นจะ ‘หมุนรอบ’ อเมริกา ซึ่งเป็นแก่นกลางของขั้วความคิดที่สำคัญของโลก (หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีอเมริกาเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเนื้อเรื่อง และตัวละครอเมริกันเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่อง ขณะที่ตัวละครอื่นอาจเป็นชาวตะวันตกประเทศอื่นเช่น อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมัน เป็นต้น)
นักวิชาการได้มีการเรียกปรากฏการณ์การแผ่ขยายวัฒนธรรมของประเทศมหาอำนาจหนึ่งเป็นแก่นกลางที่สำคัญเหนือวัฒนธรรมอื่น ๆ ของโลกว่า “จักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม” หรือ cultural imperialism ซึ่งได้มีการอธิบายนิยามว่า “การครอบงำทางวัฒนธรรม และการขยายตัวทางวัฒนธรรมของประเทศหนึ่ง ๆ เข้าไปสู่วัฒนธรรมและพัฒนาการทางวัฒนธรรมของอีกประเทศหนึ่ง” [4]
และโดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงปรากฏการณ์การขยายตัวของวัฒนธรรมอเมริกานั้น นักวิชาการอีกท่านหนึ่งก็ได้มีการนิยามถึงคำว่า “การทำให้เป็นอเมริกัน” หรือ Americanization เอาไว้ว่า “การรับ (adoption) รูปแบบการผลิตและบริโภค, เทคโนโลยีและวิธีการจัดการ, แนวคิดทางการเมืองและนโยบายสังคม, วัตถุและสถาบันทางวัฒนธรรมระดับสูงและระดับประชาชน, บทบาททางเพศและกิจกรรมยามว่าง ของอเมริกาในต่างประเทศ” [5]
อีกหนึ่งกรอบความคิดที่จะเอามาเสริมในการอธิบายถึงขั้นตอนวิธีการในการแผ่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมอเมริกันให้เป็นวัฒนธรรมป๊อปของโลกนั้นก็คือทฤษฎีด้านการสังคมและสื่อสารที่เรียกว่า “ทฤษฎีการปลูกฝัง” หรือ cultivation theory ซึ่งในบทความของนักวิชาการไทยท่านหนึ่งได้อธิบายเอาไว้ถึงขั้นตอนวิธีการใช้สื่อปลูกฝังความคิดของผู้คนเอาไว้ดังนี้
“หลังจากผู้คนรับชมภาพยนตร์ พวกเขาก็จะมีความรู้สึกมีส่วนร่วมอย่างจำลอง (pseudo involvement) และรู้สึกเหมือนว่าพวกเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์นั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็จะซึมซับคุณค่าหรือนัยยะใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในภาพยนตร์ และปรับใช้ (adapt) เข้ามาในวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา จึงอาจพูดได้ว่า หากคุณต้องการผู้คนรับรู้คุณค่าใด ๆ เกี่ยวกับประเทศของคุณ มันก็เป็นสิ่งง่ายกว่าในการเอามันอยู่ในภาพยนตร์ และแจกจ่ายภาพยนตร์นั้นไปสู่พวกเขา ทฤษฎีการปลูกฝังนั้นเป็นทฤษฎี[ที่พูด]เกี่ยวกับการที่ผู้คนได้รับการอบรมหรือถ่ายทอด แต่ในส่วนของภาพยนตร์ ทฤษฎีการปลูกฝังนั้นสามารถถูกนำมาใช้ในฐานะการปลูกฝังจากการที่ผู้คนได้รับรู้ถึงภาพยนตร์และว่าพวกเขานั้นซึมซับคุณค่าต่าง ๆ จากภาพยนตร์มากน้อยเพียงใด” [6]
ถ้าเราจะตอบคำถามสุดท้ายจากคำพูดที่ยกมาข้างต้นนี้แล้วละก็ เราอาจจะกล่าวได้ว่าในปัจจุบันผู้คนจำนวนมากนั้น “ซึมซับคุณค่าต่าง ๆ จากภาพยนตร์[อเมริกัน]” อย่างมาก และไม่เพียงแต่ภาพยนตร์ ศิลปะ ดนตรี คุณค่าทางศีลธรรมและสังคม วิถีชีวิต และการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองการปกครอง เรียกได้ว่าเกือบทุก ๆ มิติของสังคมโลกในยุคปัจจุบัน รวมทั้งสังคมไทยเราเอง นั้นก็ได้รับการ Americanize ตามนิยามที่กล่าวถึงข้างต้นอย่างมาก
ซึ่งความเปลี่ยนแปลงบางอย่างนั้นก็อาจจะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเรื่องดี เช่น การพัฒนาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายและประโยชน์ให้สังคม หรือคุณค่าต่าง ๆ เช่น การมีความตื่นตัวและการมีส่วนร่วมในสังคมและการเมือง แต่ในขณะเดียวกัน อีกก็ยังมีหลายสิ่งที่เราควรจะคิดและชั่งน้ำหนักถึงคุณและโทษอย่างสมดุลก่อนที่จะนำมันมาปรับใช้กับชีวิตและสังคมของเรา เช่น เรื่องความสัมพันธ์ทางครอบครัว หรืออิสรภาพทางความคิดที่จะต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็อาจจะเป็นการทำความเข้าใจในภาพรวมว่า การแผ่ขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมความคิดของมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ที่เป็นผู้นำและทำมาอย่างยาวนานและประสบความสำเร็จมาก หรือประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, และล่าสุดก็คือมหาอำนาจอีกฝั่งหนึ่งคือ จีน เราควรจะต้องทำความเข้าใจว่าการล่าอาณานิคมทางความคิดหรือการขยายจักรวรรดิทางวัฒนธรรมเหล่านี้นั้น ทำไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศเหล่านั้นมากกว่าและไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศอื่น ๆ เป็นหลัก
ดังนั้นเมื่อเราเสพสื่อต่าง ๆ ทั้งสื่อบันเทิง หรือข่าวสาร หรือบริโภควัตถุทางความคิดต่าง ๆ แล้ว การที่เราเข้าใจถึงวิธีการ แนวคิด ทฤษฎี ต่าง ๆ ที่นำไปสู่การสร้างสิ่งเหล่านั้น และรู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ เราก็จะมีความสามารถในการชั่งน้ำหนักถึงคุณและโทษอย่างสมดุลเพื่อปรับเอาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราและสังคมส่วนใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น
เตรียมตัวเข้าสู่ศึกเลือกตั้งเต็มรูปแบบ ควรมีคนจับตานโยบายแต่ละพรรคว่าใช้เงินกันเท่าไร และบริหารงานในพรรคกันอย่างไร ก่อนคิดบริหารประเทศ รวมถึง พ.ร.บ.กันอุ้มหายที่ถูกชะลอไปอย่างน่าเสียดาย
วิเคราะห์สูตรจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า รวมไทยสร้างชาติกับภาวะตกที่นั่งลำบาก และวาทกรรม “ประเทศไทยเสียโอกาส”
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม