Newsโจ ไบเดน และพรรคพวก ถูกฟ้องกรณีสมคบคิดบริษัท Big Tech เซ็นเซอร์ ‘ข่าวฉาว’ และ ‘ความเห็นต่าง’

โจ ไบเดน และพรรคพวก ถูกฟ้องกรณีสมคบคิดบริษัท Big Tech เซ็นเซอร์ ‘ข่าวฉาว’ และ ‘ความเห็นต่าง’

เอริค ชมิตต์ อัยการสูงสุดของรัฐมิสซูรี และเจฟฟ์ แลนดรี อัยการสูงสุดของรัฐหลุยเซียน่า ยื่นฟ้อง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ, เจ็น ซากี เลขาธิการสำนักข่าวทำเนียบขาว, ดร.แอนโทนี ฟอชี่ และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงอื่น ๆ ต่อศาลแขวงสหรัฐอเมริกาเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา (5 พ.ค.)

 

ด้วยข้อหา ‘กดดันและสมคบคิด’ กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดียหลายแห่ง เช่น Meta, Twitter และ YouTube เพื่อเซ็นเซอร์และปิดบังเนื้อหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลฉาวที่ขุดจากแล็บท็อปของฮันเตอร์ ไบเดน, ต้นกำเนิดของโควิด-19, ประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยในการป้องกันโควิด และความปลอดภัยในการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ในช่วงการระบาดใหญ่

 

โดยบริษัทโซเชียลมีเดียเหล่านี้อ้างว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็น ‘ข้อมูลเท็จ’

 

รายละเอียดในคำฟ้อง กล่าวหาว่า รัฐบาลกลางละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยระบุว่าเป็น ‘การละเมิดสิทธิครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ’

 

และยังระบุด้วยว่า “เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงได้ข่มขู่ และกดดันแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้ทำการเซ็นเซอร์ความคิดเห็นของผู้ที่ขัดใจ ‘ฝ่ายซ้าย’ โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลเท็จ และเป็นข้อมูลที่ผิด”

 

ชมิตต์ กล่าวกับ Fox News ในแถลงการณ์พิเศษถึงการฟ้องร้องครั้งนี้ว่า “รัฐบาลไบเดนพัวพันในการรณรงค์เพื่อกดดันแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ให้เซ็นเซอร์ความเห็นต่างที่ไม่ถูกใจฝ่ายซ้าย และทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มเหล่านั้นในการบิดเบือนข้อเท็จจริง และชี้นำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการเซ็นเซอร์เพื่อต่อต้านข้อมูลเท็จ

 

ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยตรง และผมจะไม่ปล่อยให้รัฐบาลไบเดนเหยียบย่ำสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวมิสซูรี และชาวอเมริกันโดยไม่ทำอะไรเลย”

 

ส่วน แลนดรี กล่าวว่า “บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ได้กลายมาเป็นแขน-ขาของรัฐบาลไบเดน ซึ่งนอกจากบริษัทเหล่านี้จะไม่ปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวอเมริกันแล้ว ยังกลับช่วยรัฐบาลไบเดนปกปิดความจริง และให้ร้ายคนที่คิดต่าง ซึ่งทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อหลักนิติธรรม และยับยั้งไม่ให้รัฐบาลละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการแบนความคิดเห็นต่าง”

 

เนื้อหาในคำฟ้องดังกล่าว ได้หยิบยกตัวอย่างการที่แพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ดังนี้

 

 

Twitter ได้บล็อกการลงโพสต์ข่าวอื้อฉาวที่กู้จากแล็ปท็อปของฮันเตอร์ ไบเดน ซึ่งรายงานโดย New York Post ในปี 2020 โดยการขึ้นป้ายเตือนว่าอาจเป็นอันตราย (potentially harmful) และปิดการแชร์ลิงค์ข่าวดังกล่าว

 

ซึ่งอัยการสูงสุดทั้งสองระบุว่า ปัจจุบัน Washing Post และ New York Times ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง และนี่เองเป็นการฉีกหน้ากากเผยให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของ Twitter ในการพยายามปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

 

Facebook ได้ทำการเซ็นเซอร์โพสต์ที่เอ่ยถึงทฤษฎีที่ว่าเชื้อโควิดหลุดออกมาจากห้องแล็บ ซึ่ง ฟอชี่ ได้ทำแคมเปญบิดเบือนข้อมูลเพื่อดิสเครดิตทฤษฎีดังกล่าว พร้อมกับได้ติดต่อมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เรื่องการควบคุมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 ซึ่งทางแพล็ตฟอร์มเพิ่งจะเริ่มหยุดการเซ็นเซอร์โพสต์เกี่ยวกับทฤษฎีดังกล่าว ภายหลังจากที่สื่อต่าง ๆ เริ่มรายงานถึงความเป็นไปได้ของทฤษฎี

           

YouTube ได้ทำการเซ็นเซอร์คำถามของนักการเมืองพรรครีพับลิกัน ที่ถามถึงประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยในการป้องกันโควิด

 

โดยการยื่นฟ้องในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ Twitter ตกลงขายบริษัทให้กับอีลอน มัสก์ ในราคา 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งทางมัสก์ได้ออกมายืนยันว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะได้รับความคุ้มครองบนแพล็ตฟอร์มภายใต้การบริหารของเขา

 

ทั้งนี้ Meta, Twitter, YouTube และทำเนียบขาว ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใด ๆ กับ Fox News เกี่ยวกับการฟ้องร้องครั้งนี้

อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า