เวเนซุเอลา ที่ผงาดขึ้นและตกต่ำลงจากการทวงคืนน้ำมันเป็นของรัฐ
เวเนซุเอลา ดินแดนที่ครั้งหนึ่งคือ ดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์เพราะอยู่ในบริเวณเขตร้อนและสามารถเพาะปลูกได้ง่าย มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลโดยเฉพาะทรัพยากรน้ำมัน และอยู่ในบริเวณทวีปอเมริกาใต้ที่ไม่ได้มีความขัดแย้งระหว่างประเทศมากนักเมื่อเทียบกับทวีปอื่น ๆ ในโลกที่มีความตึงเครียดมากกว่า
การที่มีปัจจัยเหล่านี้ครบถ้วนก็มักจะหมายถึง ความมั่งคั่งที่ประเทศควรจะได้รับและพัฒนาสู่ความรุ่งเรืองเหมือนกรณีของนอร์เวย์ ออสเตรเลีย และ แคนาดา ที่เป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตและระดับรายได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จากการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรอันมีค่าเหล่านี้
ทว่าเวเนซุเอลา กลับอยู่ในวงจรของความทุกข์ที่ต้องเผชิญอย่างยาวนานในรูปแบบของวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจที่สะสมเรื้อรังมายาวนานและได้กลายเป็นความเวทนาที่สังคมโลกได้รับรู้ผ่านสื่อทั่วโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์เช่นนี้
ทั้งที่เวเนซุเอลาคือ ประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติน้ำมันสำรองที่มีการค้นพบเจอแล้วในระดับปริมาณที่สูงที่สุดในโลก ยิ่งกว่าซาอุดีอาระเบียและรัสเซียที่เป็นผู้ผลิตแหล่งพลังงานน้ำมันรายใหญ่เสียอีก และ 2 ประเทศที่กล่าวมาถ้าไม่ใช่มหาอำนาจทางการทหารก็ต้องเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งสูง
ซึ่งเวเนซุเอลาเองก็ใช่ว่าจะเป็นประเทศยากจนมาโดยตลอด ที่จริงแล้วหลังการค้นพบแหล่งพลังงานน้ำมันโดยบริษัทน้ำมันต่างชาติในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
เวเนซุเอลาก็ คือ ประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีและมีอนาคตที่สดใสจากการส่งออกทรัพยากรปิโตรเลียมและสินค้าทางการเกษตรที่ต่างก็เป็นสินค้าชั้นเลิศทั้งสิ้น เศรษฐกิจเวเนซุเอลากลายเป็นความรุ่งเรืองที่ครั้งหนึ่งดึงดูดแรงงานจากประเทศต่าง ๆ เข้ามาทำงานในประเทศ รวมทั้งผู้คนจากสหรัฐอเมริกาพร้อมกับการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ
และยิ่งรุ่งเรืองขึ้นไปอีกท่ามกลางวิกฤตเงินเฟ้อครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงยุค 1970 ที่เกิดจากราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่เวเนซุเอลาที่มีอยู่ รวมทั้งการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของชาติตะวันออกกลางต่อประเทศชาติตะวันตก จึงทำให้ชาติตะวันตกมองเวเนซุเอลาเหมือนเป็นแหล่งน้ำมันที่เชื่อถือได้เป็นเหตุให้เงินมหาศาลไหลเข้าประเทศครั้งใหญ่
จุดนี้ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวย ประชาชนชนชั้นกลางมีคุณภาพชีวิตที่ดี นิยมการเดินทางไปต่างประเทศและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนในประเทศโลกที่ 1 ก็ไม่ผิดนัก
แต่ด้วยเม็ดเงินมหาศาลที่เข้าประเทศมาหลายสิบปีทำให้ภาครัฐมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเรียกคืนบริษัทพลังงานเอกชนที่ดำเนินการภายในประเทศให้เป็นของรัฐทั้งหมด ภายใต้รัฐวิสาหกิจน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา ด้วยเหตุผลที่ต้องการรวบความมั่งคั่งจากกิจการน้ำมันที่มีอยู่มาก
และใช้รายได้จากน้ำมันในการพัฒนาประเทศตามที่ภาครัฐต้องการโดยเฉพาะใช้ในนโยบายประชานิยมซึ่งเกิดขึ้นโดยสม่ำเสมอเมื่อระดับราคาน้ำมันโลกกำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว
ที่จริงแล้วนโยบายการทวงคืนพลังงานของเวเนซุเอลาเกิดขึ้นมานานหลายสิบปีแล้วตั้งแต่การบัญญัติข้อกฎหมายที่ให้รายได้จากน้ำมันของภาคเอกชนจะต้องแบ่งให้ภาครัฐร้อยละ 50 ในปี ค.ศ.1943 การทวงคืนแหล่งก๊าซธรรมชาติให้เป็นของรัฐ การเข้าไปยึดทรัพย์สินแหล่งสำรวจพลังงานให้เป็นของรัฐโดยไม่ชดเชยเมื่อหมดอายุสัมปทาน รวมทั้งการออกกฎหมายให้รัฐมีอำนาจในกิจการน้ำมัน ในปี ค.ศ.1971
จนในปี ค.ศ.1976 ก็ได้มีการประกาศการทวงคืนพลังงานอย่างสมบูรณ์ ภายใต้รัฐวิสาหกิจเวเนซุเอลา PDVSA ทำให้อำนาจในการประกอบกิจการปิโตรเลียมทั้งหมดเป็นของรัฐ และรายได้ทั้งหมดก็เข้าสู่รัฐเช่นเดียวกันในปริมาณมหาศาลและสามารถทำอะไรได้ต่าง ๆ นานา
อย่างไรก็ตาม การทวงคืนพลังงานกลับเป็นการเร่งปัญหาหนึ่งของเวเนซุเอลา คือ การพึ่งพารายได้หลักจากทรัพยากรธรรมชาติ ที่รุนแรงหนักขึ้นจากระบบการบริหารของรัฐวิสาหกิจที่เปิดโอกาสให้มีการทุจริตในองค์กรมากกว่าในการบริหารแบบเอกชน รวมทั้งแรงจูงใจในการขยายขีดความสามารถของหน่วยงานก็ลดลงเพราะไม่ได้มีการแข่งขันและเป็นองค์กรผูกขาดอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
หนักกว่านั้น รายได้ส่วนใหญ่จากอุตสาหกรรมน้ำมันหลังการทวงคืนพลังงานไม่ได้เข้าไปพัฒนาขีดความสามารถประเทศจริง แต่กลับใช้ในการประชานิยมและการใช้จ่ายในทางการเมือง มากกว่าการใช้จ่ายกับการลงทุนในระยะยาวและการขยายขีดความสามารถในการหารายได้เพิ่มเติมเข้าประเทศนอกเหนือจากน้ำมันที่ได้ครอบงำและเป็นอุตสาหกรรมหลักของชาติไปแล้ว
จุดแรกของภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงกลางยุค 1980 ที่ราคาน้ำมันตกลงอย่างรวดเร็ว ทำให้รายได้ของประเทศที่มีอยู่หายไปเป็นจำนวนมาก และทำให้เกิดวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะการเกษตรที่เคยเป็นรายได้หลักในช่วงก่อนการค้นพบน้ำมันแทบไม่มีความสำคัญ จึงทำให้วิกฤตเศรษฐกิจเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงและทำลายคุณภาพชีวิตลงอย่างสิ้นซาก
และการเข้ามาของแนวคิดสังคมนิยมในเวเนซุเอลาในช่วงขึ้นศตวรรษที่ 21 ในจังหวะเดียวกับที่ระดับราคาน้ำมันโลกกำลังเพิ่มขึ้นอีกระลอกหนึ่ง ก็มีการใช้นโยบายการทวงคืนพลังงานที่รุนแรงอีกระดับหนึ่ง คราวนี้คือการยึดทรัพย์สินของต่างชาติที่มีบทบาทในอุตสาหกรรมเวเนซุเอลาเดิมอย่างเด็ดขาด และมีการนำรายได้ขั้นต่ำร้อยละ 10 จากรัฐวิสาหกิจน้ำมันในการทำโครงการประชานิยมอีกรอบหนึ่ง
รอบนี้คือเป็นประชานิยมจัดหนักกว่ารอบก่อน และถูกใจคนเวเนซุเอลาจนได้รับเลือกตั้งในสมัยต่อไป สูตรเดียวกับการทวงคืนพลังงานที่เบากว่าในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่โหดกว่าและจริงจังกว่า
ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันตกลงอย่างรุนแรงในช่วงหลังวิกฤตหนี้ซับไพรม์ หายนะรอบก่อนที่ว่าหนักแล้ว รอบนี้คือหนักกว่าเพราะโดนสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในช่วงสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และขีดความสามารถอุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนซุเอลาที่มีการอัตราการผลิตน้ำมันถดถอยลงกว่าช่วงศตวรรษก่อน
และสิ่งที่รัฐบาลสังคมนิยมทำคือ การพิมพ์เงินเป็นจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ พร้อมกับการตรึงค่าเงินของประเทศที่แข็งค่ากว่าปกติที่ควรเป็น ทำให้เกิดวิกฤตเงินเฟ้อในระดับมหาศาลเข้ามาซ้ำเติมประเทศที่ก็กำลังเผชิญวิกฤตสารพัดอย่างอยู่ในขณะนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นความทุกข์ทรมานของคนเวเนซุเอลาที่ต้องแบกรับชะตากรรมของประเทศที่ขึ้นอยู่กับระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก และรักษาอัตราการผลิตน้ำมันออกมาสู่ตลาดโลก
การที่มีกลุ่มบุคคลหนึ่งมีความพึงปรารถนาที่จะทวงคืนแหล่งพลังงานหรือบริษัทพลังงานเป็นของรัฐก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แย่อะไรมากนัก และคงจะดีถ้าทรัพยากรของรัฐถูกใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน มากกว่าเพื่อแสวงผลกำไรขององค์กรเอกชนเพียงอย่างเดียว
แต่บางทีการเข้าใจกรณีศึกษาของเวเนซุเอลาที่ก็มีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกัน แต่มีขนาดแหล่งน้ำมันที่ใหญ่กว่า มีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่น้อยกว่า และมีประชากรที่น้อยกว่า แต่กลับมีจุดจบที่โหดร้ายเพราะการทวงคืนน้ำมันได้สร้างผลเสียขนานใหญ่ต่อประเทศในด้านขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศและการทุจริตเชิงนโยบายที่เคยเกิดขึ้นในเวเนซุเอลามาก่อน
ก็อาจทำให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า “บางครั้งปล่อยให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูงได้บริหารองค์กรเองและให้รัฐถือหุ้นส่วนหนึ่งพร้อมกับอำนาจกำกับดูแลในยามจำเป็นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่าที่จะควบคุมเองทั้งหมด” เพราะกรณีเวเนซุเอลาที่เป็นความทุกข์ทรมานบนแผ่นดินน้ำมันอันอุดมสมบูรณ์ได้บอกเราแล้วว่า..
“ทวงคืนน้ำมันเป็นของรัฐมันไม่เวิร์ค”
โดย ชย
ปัญหาของการขาดแคลนพลังงาน ส่งผลกระทบกระทั่งพิธีกรรมทางศาสนาก็ไม่ยกเว้น
เส้นทางสายการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อ “ซื่อสัตย์และจงรักภักดี” อย่างเดียว ไม่เพียงพอสำหรับสังคมไทยในเวลานี้
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม